“Blue Period” การ์ตูนที่มากกว่าการ์ตูนศิลปะ ที่เราไม่อยากให้คุณพลาด

Blue Period การ์ตูนแนวค้นหาตัวเองผ่านวงการศิลปะ ที่ตอนนี้กำลังได้รับความนิยมในประเทศญี่ปุ่นอย่างมาก จนได้รับไฟเขียวให้สร้างเป็นแอนิเมชั่นซีรีส์ โดยมี Seven Arcs Studio ที่ฝากผลงานอย่าง Tonikaku Kawaii, Sekirei, Mahou Shoujo Lyrical Nanoha, Arte เอาไว้มาดูแลการผลิต

แต่อะไรที่ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้เจ๋งจนถูกมองว่าจะกลายเป็นเสาหลักในอนาคตได้อย่างแน่นอน เราได้มีโอกาสอ่านเล่มที่ 1 – 2 ในฉบับแปลไทยมาแล้ว จึงขอนำเสนอ 5 เหตุผลที่จะทำให้คุณผู้อ่านอยากรู้จัก “บลูพีเรียด” ให้มากขึ้น และขอบอกเลยว่าคุณต้องไม่พลาด!

1. เพราะเราต่างก็เคยผ่านการเลือกคณะเข้ามหาวิทยาลัย

ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ถ้าคุณได้เข้าเรียนศึกษา เมื่อถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 – 6 เราต่างก็ต้องเลือกสายการเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย การ์ตูนเรื่องนี้หยิบประเด็นนี้มาเล่าในช่วงเริ่มต้นของเรื่อง

จะเป็นอย่างไร ถ้าคุณเป็นคนที่ป๊อปพอสมควร เรียนดีในระดับท็อปของโรงเรียน การสอบเข้าคณะอย่างแพทย์ วิศวะ หรือสถาปัตย์ ดูจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด แต่ถ้านั่นไม่ใช่ความรู้สึกของคุณเลยล่ะ

ยาโทระ ยางุจิ พระเอกของเรื่องคือเด็กม.5 คนนั้น เขาพบว่าตัวเองไม่ได้ชอบอะไรเลย ทั้งที่เขาทำได้ดีทุกอย่าง จนกระทั่งเขาได้พบเข้ากับภาพงานศิลปะชิ้นหนึ่งโดยบังเอิญ และนั่นทำให้โลกของเขาเปลี่ยนไป หัวใจที่เคยสงบนิ่งมาตลอดก็เต้นขึ้นมาจนได้

2. เพราะไม่มีใครเก่งที่สุด

ไม่มีใครเก่งที่สุด มีแต่เก่งในเฉพาะด้านที่ตัวเองถนัด ถ้าพูดแบบนี้ไม่ว่าใครก็เป็นใช่ไหมครับ ตัวเราเองที่อาจจะไม่เอาไหนด้านคำนวณ แต่พอเป็นเรื่องทำอาหารก็อาจจะลุกขึ้นมาเป็นเรี่ยวแรงหลักของบ้าน หรือความสามาถทางกีฬาที่ไม่ว่าใครก็ลอกเลียนเราไม่ได้

แต่จะเป็นยังไง ถ้ากับสิ่งที่ชอบ เรากลับไม่ได้เก่งเลย?

ยาโทระ หลังจากที่รู้ว่าตัวเองหลงเสน่ห์ของศิลปะเข้าให้แล้ว เพื่อไม่ให้ความฝันหลุดลอย เขาจึงจำเป็นต้องไล่ตามเพื่อนร่วมรุ่นทั้งประเทศให้ทัน ปัญหาคือเขาที่เก่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น เลข ภาษา วิทยาศาสตร์ หรือวิชาอะไรก็ตาม แต่กับวิชาศิลปะเขากลับทำไม่ได้เลย

จุดเริ่มต้นที่เหมือนกับศูนย์ มีแค่ความชอบเท่านั้น จะทำให้ 0 นั้นกลายเป็น 1 ได้หรือเปล่านะ แต่ถ้าไม่ยอมแพ้ก็อาจจะพอมีทางอยู่สินะ แค่คิดแบบนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาแล้วล่ะ

3. เพราะทุกความฝันไม่ใช่แค่เราที่เกี่ยวข้อง

การเลือกคณะเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ถือเป็นเรื่องสำคัญของคนทั้งบ้านไม่ใช่แค่ในประเทศญี่ปุ่น แต่ที่ไทยก็เช่นกัน เพราะการสอบเข้าฯ เป็นเหมือนตัวกำหนดอนาคตของเด็กคนนั้น รวมไปถึงค่าเทอมที่บางครอบครัวก็อาจจะมองว่าเป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน

ครอบครัวของยาโทระก็ด้วย คุณแม่ของเขาพูดย้ำบ่อย ๆ ว่าอยากให้เขาเลือกคณะที่ดีและมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมากนัก ซึ่งก็ถือว่าสวนทางกับคณะศิลปะที่ทางยาโทระสนใจอยากเข้า เพราะถึงตัวค่าเทอมอาจจะไม่ได้สูง แต่การเรียนพิเศษเพื่อติวเข้านั้นก็หนักเอาการ

การที่ต้องพูดคุยกับพ่อแม่ เพื่อโน้มน้าวให้เขาเข้าใจ เรื่องแบบนี้ไม่เคยง่ายเลยจริง ๆ

4. เพราะไม่ว่าอย่างไรก็อยากให้เข้าใจ LGBTQ

LGBTQ เป็นสิ่งประเด็นที่ถูกพูดถึงในสังคมวัยรุ่นอยู่เสมอ การที่เด็กสักคนจะเข้าใจในเพศสภาพของตัวเอง ช่วงเวลาอ่อนไหวแบบนี้ กำลังใจจากคนรอบข้างเป็นเรื่องสำคัญ

“บลูพีเรียด” ได้พูดถึงประเด็นนี้อย่างอ่อนโยนและตรงไปตรงมา โดยในเรื่องจะมีตัวละครหลักสำคัญคนหนึ่งเป็น LGBTQ และเขาต้องเผชิญกับความผิดหวังจากความสัมพันธ์และการต้องโฟกัสกับความฝันเพื่อสอบเข้า

เรื่องราวที่ดูโหดร้ายแต่กลับถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างมนุษย์ที่สุด นี่เป็นอีกจุดสำคัญที่บลูพีเรียดทำได้เป็นอย่างดี นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราอยากให้คุณได้ลองอ่าน เพื่อเข้าใจคนอื่นและตัวคุณเองมากขึ้น

5. เพราะมันดียังไงล่ะ!

ในทุกข้อที่เราได้บอกมาทั้งหมดเป็นเนื้อเรื่องเพียง 2 เล่มแรกเท่านั้น หมายความว่าหลังจากนี้จะมีเรื่องราวที่น่าสนใจและเข้มข้นกว่านี้รออยู่อย่างแน่นอน และสำหรับใครที่หาซื้อหนังสือการ์ตูนไม่ได้ เขาก็มีจำหน่ายในรูปแบบ E-Book หรือถ้าอดทนรออีกนิด ในปีนี้ก็จะได้ดูแอนิเมชั่นซีรีส์อย่างแน่นอน

แต่ไม่ว่าอย่างไร เราก็มั่นใจว่า Blue Period จะกลายเป็นการ์ตูนเรื่องโปรดของคุณอีกเรื่อง และจะทำให้คุณรู้สึกอยากลุกขึ้นมาวาดรูป หรือลงมือทำตามความฝันอีกครั้ง

“เพราะการทุ่มเทให้กับเรื่องที่ชอบ มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอครับ?”