“ถ้าคนเราตั้งใจทำอะไรจริงจัง มันก็ทำได้หมดอยู่แล้ว”
สหดล ตันตราพิมพ์ (ปอนด์)
อดีตสจ๊วตหนุ่มและผู้เข้าแข่งขันรายการ Master Chef Season 3 ปัจจุบันเป็นเจ้าของร้านอาหารที่มีชื่อสุดจะโดนใจ
“I am Curry ฉันคือ… (แกง) กะหรี่” ในย่านอารีย์ นอกจากรับบทบาทดูแลธุรกิจร้านอาหารแล้วก็ยังเป็นพ่อครัวอีกด้วย
การเปิดร้านอาหารรวมถึงเป็นพ่อครัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องอาศัยปัจจัยอะไรหลายๆ อย่าง
แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือความปรารถนาที่อยากจะเริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ และการมองปัญหาให้เป็นเรื่องของความท้าทาย
มากกว่าสิ่งที่ฉุดรั้งไม่ให้เราไปต่อ เมื่อคนเรามีความมุ่งมั่นและความพยายามที่จะทำอะไรสักอย่างแล้วทำให้เต็มที่
ความสำเร็จก็ไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อม
1.แนะนำตัวคุณปอนด์
สวัสดีครับ ชื่อ สหดล ตันตราพิมพ์ ชื่อเล่น ปอนด์ ครับ อายุ 28 ปี ปัจจุบันเป็นเจ้าของร้าน I am Curry
อยู่ที่ซอยอารีย์ 1 ครับ เป็นทั้งเจ้าของร้านแล้วก็เป็นทั้งเชฟครับผม
2.จุดเริ่มต้นของการทำอาหาร
ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบกินของอร่อย แล้วก็ไปลองกินเยอะมากตั้งแต่สมัยเรียน ผมชอบไปกินข้าวกับเพื่อนข้างนอก
โดยตอนนั้นยังได้รับเงินเดือนจากพ่อแม่อยู่แล้วมันไม่ได้เยอะพอที่จะใช้สำหรับออกไปกินข้าวข้างนอกตลอด
เลยรู้สึกว่าเราทำเอง กินเอง ดีกว่า ลองผิดลองถูกเอง บ้านผมก็มีอากู๋ อาม่า ที่มักทำอาหารอยู่แล้ว เราก็ “ครูพักลักจำ”
ช่วงนั้นมีอินเตอร์เน็ตด้วย ผมก็เลยเรียนรู้ผ่านทางนั้น จากที่จะไปกินข้างนอกที่มื้อนึงตกอยู่ที่ 700-800 บาท
ก็เปลี่ยนเป็นเอาเงินนั้นซื้อวัตถุดิบมาทำเอง เราได้กิน ครอบครัวเราก็ด้วย และเป็นการฝึกสกิลด้วย
3.ช่วงที่ได้ลองฝึกทำอาหารเองนั้นอายุเท่าไร แล้วเรียนทำอาหารที่ไหนบ้างไหม
ตอนนั้นผมอยู่ช่วงมัธยมปลาย แต่เริ่มทำแบบจริงจังก็น่าจะตอนเรียนมหาวิทยาลัย ผมไม่ได้เทคคอร์สด้วยครับ
ก็มีกูเกิลกับยูทูบนี่แหละที่เป็นครู (หัวเราะ) สมัยก่อนเราก็ไม่ได้ประกาศให้ใครรู้ว่าเราทำอาหารนะ
เน้นทำกินกับที่บ้านมากกว่า
4.แรงบันดาลใจที่ทำให้เปิดร้าน I am Curry
ผมเริ่มจากเป็นสจ๊วตมา 5 ปี แล้วรู้สึกอิ่มตัว มีแพลนว่าจะเปิดร้านอาหารก่อนไปสมัครร่วมรายการ Master Chef
แต่ตอนนั้นยังไม่ได้คิดว่าจะเปิดเป็นร้านอะไร แล้วด้วยความที่เราเข้าไปร่วมรายการ เราได้ประสบการณ์
ดูกระแสนิยมในปัจจุบัน ตอนแรกผมอยากเปิดร้านอาหารไทยนะ แต่คิดว่าถ้าไม่เจ๋งจริงแล้วคงยาก
ที่จะให้มันประสบความสำเร็จ เพราะคู่แข่งเยอะ เราเลยคิดว่ามาเปิดร้านที่ตรงเทรนด์ในตอนนี้ แล้วเป็นสิ่งที่เราชอบด้วย
เพราะปอนด์เคยเป็นสจ๊วตมา 5 ปี มีโอกาสได้ชิมแกงต่างๆ จากหลากหลายประเทศ เช่น อินเดีย ปากีสถาน มาเลเซีย
อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และผมมาคิดว่าแบบญี่ปุ่นน่าจะตอบโจทย์คนไทยมากที่สุดแล้วเลยลองทำดู
ซึ่งเราเคยทำแกงกะหรี่ตั้งแต่ตอนอยู่มหาวิทยาลัย พอทำงานก็ไปญี่ปุ่นบ่อย เราไปกินมาแล้วรู้สึกว่าชอบ
เลยพยายามปรับเปลี่ยนแกงที่เราเคยทำกับรสชาติที่เราชอบเมื่อได้ลองในญี่ปุ่น
5.ที่มาของชื่อร้านนี้ได้มายังไง
ก็ระดมความคิดกับเพื่อนครับ ผมอยากได้ชื่อเจ๋งๆ เพราะว่าได้รับฉายาตั้งแต่อยู่ในรายการแล้วว่าเป็นคนตั้งชื่อเมนูเก่ง
แล้วสมัยนี้ผมคิดว่าชื่อธรรมดา โลกมันไม่จำหรอก มันต้องเป็นอะไรที่มีลูกเล่น สองแง่สองง่ามหน่อย
คนไทยชอบครับ (หัวเราะ) แล้วเพื่อนก็พูดมาว่าแบบ เฮ้ย! I am Curry ฉันคือแกงกะหรี่ อะไรอย่างงี้
ผมก็ ดีว่ะ เจ๋งดี เลยเอาชื่อนี้โดยคิดว่าเป็นชื่อที่จำง่ายและคงติดหู
6.ช่วยบอกถึงสไตล์การทำอาหารของคุณได้ไหม
จริงๆ ผมชอบทำอาหารไทยฟิวชั่น ชอบรสชาติอาหารไทยอยู่แล้ว ชอบกินรสจัดด้วย แต่ก็อย่างที่บอกไปว่าดูกระแสแล้ว
การเปิดร้านอาหารไทยมันคงยาก แต่ในอนาคตอาจก็มีแพลนว่าจะทำร้านอาหารไทยฟิวชั่น แต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอกครับ
เอาร้านนี้ให้รอดก่อน (หัวเราะ) ส่วนการทำแกงกะหรี่ หลักๆ คือผมอยากนำเสนอรสชาติที่รู้สึกว่าเราชอบ อร่อย
ไม่มีระดับความเผ็ด ตอนนี้ยังมีแค่เบสเนื้ออยู่ และกำลังจะพัฒนาสูตรต่อไปครับ
7.เสน่ห์ของ Curry สำหรับคุณปอนด์
สำหรับผม ด้วยความที่ได้ชิมมาเยอะเลยรู้สึกว่าเครื่องเทศเป็นอะไรที่เราสามารถ “เล่น” ได้เยอะมาก
แต่การที่จะทำให้เครื่องเทศกินได้สำหรับทุกเพศทุกวัยนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะบางร้านก็มีกลิ่นแรงไป
แต่ของร้านเราคือทุกคนกินได้หมด มั่นใจว่าวัตถุดิบที่ใส่ลงไปจะช่วยทำให้รสชาติกลมกล่อมมากขึ้น และกินง่ายกว่าเดิม
8.หลังจากเปิดร้านแล้วกระแสตอบรับทางร้านเป็นยังไงล้นหลามครับ (หัวเราะ) คนเยอะมาก
ก่อนเปิดร้านผมเครียดมากเลยว่าจะขายได้ไหม ถ้าขายไม่ได้จะทำยังไง เรียกใครมาโปรโมทดี
ปรากฎว่าทำรายได้ได้เยอะมาก โดยร้านเพิ่งเปิด 2 เดือนกว่าเองครับ
9. ความยากลำบากเมื่อสวมบทบาทเป็นเจ้าของร้านอาหาร
เอาจริงๆ ทุกอาชีพที่เราคิดไว้ว่ามันจะง่ายอย่างสจ๊วต ผมเคยคิดว่าการเป็นสจ๊วตมันง่าย แต่ไม่ใช่อย่างที่คิดเลย
ทรมานมาก ไหนจะอยู่ไกลบ้านอีก ภายนอกมันดูสวยงามแต่พอมาทำเองจริงมันลำบากมาก
เปิดร้านอาหารก็เหมือนกันครับ มันดูเหมือนง่าย แต่สมมติถ้าผมเป็นแค่เชฟ ผมไม่ต้องกังวลเรื่องร้าน
พอผมเป็นเจ้าของ เราก็ต้องดูแลทุกเรื่อง ทั้งอาหาร พนักงาน การบริหารต่างๆ เราต้องรู้หมดเพราะเราเป็นเจ้าของ
เป็นหนังคนละม้วนกับที่เราฝันไว้เลย แต่ที่ชอบอย่างหนึ่งคือเป็นเจ้าของธุรกิจ ฉะนั้นเราทำงานเพื่อตัวเราเอง
ไม่เหมือนสจ๊วต ตอนนั้นผมทำงาน ได้เงินเดือน แต่ก็ทำงานเพื่อคนอื่น ผมเลยคิดว่าถ้าเริ่มช้ากว่านี้คงไม่ได้
อยากเริ่มต้นทำอะไรที่เป็นของผม แล้วได้ออกจากคอมฟอร์ทโซนของตัวเอง
เพราะอย่างน้อยเราทำไปเหนื่อยแค่ไหนแต่มันก็เป็นของเรา
10.ระหว่างทางที่เรากำลังทำธุรกิจอยู่ พบเจอความสนุกบ้างไหมหรือเจอแต่ความยากลำบาก
ตอนช่วงแรกๆ ที่เริ่มเปิดคือเหนื่อยมาก โหดสุดๆ ผมต้องไปซื้อของเอง ตื่นตีห้า ปิดร้านสามทุ่ม
ประชุมพนักงานห้าทุ่มถึงเที่ยงคืน วนลูปไปแบบนี้เป็นเวลาเดือนกว่า พอตอนนี้เริ่มลงตัวแล้วผมก็ปล่อยวางได้บ้าง
แต่จำได้ว่าตอนแรกเหนื่อยมากจริงๆ ถึงบ้านก็ไม่เคยได้หลับบนเตียง เปิดประตูเจอโซฟาก็เก่งแล้วครับ
ทิ้งตัวลงนอนเลย (หัวเราะ) แต่มันสนุกช่วงที่มีลูกค้าเยอะๆ ผมได้ทำงานตลอดต่อเนื่อง ได้แก้ปัญหา
ด้วยความที่ผมเป็นสจ๊วตมาก่อน การทำ Multi-tasking เป็นสกิลที่เราทำตลอด เวลากดดันก็เลยชอบครับ
เพราะผมคิดว่าปัญหามีไว้แก้ ไม่ได้มีไว้ท้อ ผมชอบอะไรที่ท้าทายมาตั้งแต่เด็กแล้ว
11.สิ่งที่ยากที่สุดในการทำอาหาร
ผมคิดว่าการทำอาหารมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพราะเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ตลอด เราอาจจะเก่งแค่เมนูเดียว สิ่งที่ผมยังไม่รู้
ยังไม่เคยลองทำ ยังไม่เคยลองกินก็มีอีกเยอะ แต่เชื่อว่าถ้าได้ลองฝึกทำ ประสบการณ์พวกนี้เราก็หาเองได้ ลองผิดลองถูก
แต่เอาจริงคนเราตั้งใจทำอะไรมันก็ทำได้หมดอยู่แล้วครับ ทุกคนมีดีของตัวเอง ถ้าเราตั้งใจทำอะไร ยังไงมันก็ได้
12.มีกิจกรรมอื่นไว้ทำเพื่อคลายเครียดจากการเปิดร้านอาหารไหม
ตอนนี้ติดแมวหนักมากครับ (หัวเราะ) ถ้ามีเวลาก็ฝึกทำอาหาร โดยทำกินเองบ้าง ทำเมนูใหม่ๆ บ้าง
ตั้งแต่ไปรายการ Master Chef ผมก็โฟกัสเรื่องอาหารอย่างเดียว ผมคิดว่ามันสนุกนะ
ยิ่งเห็นคนกินอาหารเราแล้วเขาชอบ เราก็มีความสุข บางทีผมก็เล่นเกมบ้างตามประสา ไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง
ติดตามผลงานของเขาได้ที่
FB : I am Curry ฉันคือ ‘แกง’ กะหรี่
IG (ร้าน) : iamcurrysince2019
IG (เชฟ) : sahadol_t