“มิ่งบุญ ฮาตะ (ต้นกล้า)”
เปิดมุมมองญี่ปุ่นด้วยเรื่องสยองขวัญ
ชายหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่น-ไทย ผู้เรียนจบจากประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันทำงานในประเทศไทยโดยมีทั้งธุรกิจส่วนตัว
และร่วมทำรายการกับ RUBSARB Production ชื่อว่า “คืนพุธ มุดผ้าห่ม”
เนื้อหาสาระของรายการนี้คือการนำเสนอเรื่องราวสยองขวัญที่มาจากประเทศญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่โดยไม่จำกัดประเภท
มีทั้งเรื่องผี ปีศาจ หรือเรื่องราวแปลกประหลาดที่ได้จากมนุษย์ปุถุชนธรรมดาแต่มีความไม่ธรรมดาในสไตล์ญี่ปุ่น
ซึ่งคนไทยอาจไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ถือเป็นการนำเสนอวัฒนธรรมญี่ปุ่นผ่านเรื่องเล่า
พร้อมทั้งมอบความสนุกสนานไปในตัว
1.แนะนำตัว
สวัสดีครับ ต้นกล้าครับ ชื่อจริงคือ มิ่งบุญ ฮาตะ เป็นลูกครึ่งครับ คุณพ่อเป็นคนญี่ปุ่น ส่วนคุณแม่เป็นคนไทย
เรียนจบจากประเทศญี่ปุ่นแล้วก็มาทำงานที่ประเทศไทยครับผม ตอนนี้เปิดบริษัทของตัวเองหนึ่งที่
แล้วก็มีอีกบริษัทหนึ่งที่เรากำลังทำรายการด้วยซึ่งก็คือ บริษัทรับทราบ ครับ (Rubsarb Production)
2.ริเริ่มคิดโปรเจกต์ตั้งแต่ตอนไหน อะไรคือแรงบันดาลใจที่จุดประกายให้สร้างรายการ
จริงๆ ผมมีโปรเจกต์นี้มาตั้งแต่อยู่ VRZO แล้วครับ ตอนนั้นเราคิดว่าเราจะทำคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับผีหรือสิ่งลี้ลับ
เพราะผมเป็นคนที่ฟังเรื่องผีเยอะ นับว่าเป็นงานอดิเรกเลยก็ว่าได้ เลยอยากลองทำดู
แต่คอนเซปต์รายการตอนนั้นยังคิดกันไม่จบ ยังไม่รู้ว่าจะทำออกมาในรูปแบบไหน เลยพักโปรเจกต์นี้ไปก่อน
แล้วตอนนี้ผมก็มาคิดว่าเราจะทำยังไงให้มันเกิดรายการที่เกี่ยวกับผีซึ่งไม่เหมือนใคร
โดยเป็นรูปแบบที่เป็นตัวเรามากที่สุด และถ่ายทอดออกมาให้เป็นสไตล์เรามากที่สุด ก็เลยออกมาเป็นรายการนี้ครับ
ซึ่งเป็นการเล่าประสบการณ์สยองขวัญต่างๆ ด้วยมุมมองของคนเล่าคนเดียว และไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมีแต่เรื่องผี
อาจมีเรื่องของคนที่มีความน่ากลัวด้วยครับ
3.อะไรคือแหล่งที่มาของเรื่องเล่าต่างๆ ที่เป็นวัตถุดิบทำให้รายการเดินทางเกือบถึง 80 ตอน
แหล่งที่มาที่เราใช้นั้นมีเยอะมากๆ ครับ โดยจะมีเรื่องจากทางบ้านที่ผู้ฟังส่งเข้ามา เราก็เอามานำเสนอ
ซึ่งเป็นส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของรายการ แต่หลักๆ เรื่องเล่าที่เราเอามานำเสนอก็จะมาจากญี่ปุ่นเสียเป็นส่วนใหญ่
ผมก็ฟังเรื่องจากญี่ปุ่นเยอะ รวมทั้งเรื่องที่เขียนลงบนอินเทอร์เน็ต โดยอาจเป็นบล็อกหรือแบบอื่นๆ
แล้วเท่าที่ผมเจอและฟังมา ในประเทศญี่ปุ่นเองก็มีการนำเสนอเรื่องผีหลายรูปแบบมาก
เช่น มีนักเล่าเรื่องผีที่เป็นอาชีพจริงจัง มีประเภทที่เป็นเดี่ยวไมโครโฟน โดยที่ญี่ปุ่นก็นับว่าประสบความสำเร็จมาก
แล้วผมก็มานั่งคิดดูว่า เฮ้ย ไทยเราไม่มี แล้วทำไมถึงไม่มีทั้งๆ ที่ไทยเราก็มีคนชื่นชอบหรือเชื่อเรื่องผี
4.แล้วเรื่องที่ได้อ่านหรือได้ฟังมา ทางผู้เขียนหรือผู้เล่าได้บอกไหมว่าเป็นเรื่องจริง หรือแต่งเพื่อความบันเทิง
เท่าที่เห็นนะครับ ส่วนใหญ่จะพูดเป็นเชิงประสบการณ์ที่เขาเจอเอง ซึ่งเมื่อเราเอาประสบการณ์ของเขามาเล่า
เราจะไม่ยืนยันว่ามันเป็นเรื่องจริง เราจะบอกว่า “เขาเล่ามาว่าอย่างนี้” แล้วเราเลยมานำเสนอแบบนี้
ส่วนเรื่องที่มันเกิดขึ้นจริง หรือนำคดีที่เกิดขึ้นจริงมาเล่า มันก็มีหลักฐานหมด หรือเรื่องบางประเภทที่เรามีรูปมาแสดงด้วย
เราก็จะบอกว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นกับเขาจริงๆ แล้วเรื่องที่เป็นข่าวหรือเป็นคดี ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
รวมถึงเรื่องสยองขวัญบางเรื่องที่ไม่มีผีเลย มีแต่คน ก็เอาเรื่องจริงมาเล่าเพราะมันมีหลักฐานยืนยันในหลายรูปแบบ
หรือเราเคยไปสถานที่นั้นแล้วเราก็ได้ประสบการณ์แบบเดียวกันครับ
5.ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ยว่าเป็นยังไง
ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคน ผมเคยเจออยู่ครั้งหนึ่ง เรื่องมันมีอยู่ว่าทุกเช้าที่เราไปสถานีรถไฟเพื่อไปเรียน
ผมจะเจอคนคนหนึ่งซึ่งเขาจะขึ้นรถไฟเวลาเดียวกันกับผมเสมอ โดยมันเกิดขึ้นในระยะเวลายาวเป็นปี
ซึ่งวันหนึ่งจู่ๆ มันเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ “เหมือนเดิม” แล้วเขาเกิดมีปฏิกิริยากับเรา เช่น ทุกวันเราเห็นเขาอยู่กับที่เฉยๆ
แต่มีวันหนึ่งที่เขาเกิดลุกขึ้นมา แล้วเดินตรงมาหาเราพร้อมมีท่าทีบางอย่าง ผมเห็นแบบนั้นแล้วผมก็กลัว
เพราะมันกลายเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดาสำหรับชีวิตที่มักดำเนินไปแบบที่มันเป็นหรือที่เราเคยเห็น
ผมเจอมาเยอะครับ หรือถ้าให้เล่าอีกเรื่องคือผมเคยเจอคนหนึ่งที่ทุกเช้าเขาจะมาเปิดประตูรถไฟ
ตั้งแต่ท้ายขบวนยันต้นขบวนแล้วก็เดินวนกลับ ซึ่งหาเหตุผลไม่ได้ แล้วด้วยความที่ยังเด็กและมีเพื่อนๆ ที่นั่งรถไฟ
ไปโรงเรียนด้วยกัน เราเลยคิดกันว่า งั้นลองไปปิดประตูที่เขาเปิดดูมั้ย พอหลังจากที่ปิดประตูไป
กลับกลายเป็นว่าคนนั้นมาไล่ตามไปยันหน้าโรงเรียนเลย
6.แล้วท้ายที่สุดเราได้ทราบเหตุผลมั้ยว่าเขาทำไปเพราะอะไร
ผมไม่แน่ใจเรื่องเหตุผลเลยครับ แต่เท่าที่สังเกต ทุกครั้งที่เขาเปิดประตูเนี่ย เขาจะพูดอะไรสักอย่างคนเดียว
แนวๆ ว่าต้องเปิดไว้ เดี๋ยวมันโน่นนี่ เดี๋ยวมันไม่ดี อะไรก็ไม่รู้ของเขานะครับ ซึ่งระหว่างที่พูด เขาก็เดินผ่านหน้าผมไป
ผมเลยจับใจความแท้จริงไม่ได้ เพียงแต่รู้ว่าเขาพึมพำและเขาก็มีเหตุผลในการเปิดประตูนี้
ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกเพราะเราหาข้อสรุปไม่ได้
7.ในฐานะที่คุณได้เจอเรื่องแบบนี้ในญี่ปุ่น ถ้ามองในมุมของคนญี่ปุ่นซึ่งคุณเองก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมในสังคมนั้นมานาน
เขามองว่ามันแปลกมั้ย
อันนี้ในมุมมองของผมคนเดียวนะ ผมคิดว่าในสังคมญี่ปุ่นนั้นมีคนหลายรูปแบบมากๆ และคิดว่ามันหลากหลายกว่าบ้านเรา
เวลาเราขึ้นรถไฟฟ้าหรือรถไฟ เราเห็นคนแปลกๆ เยอะมากที่ญี่ปุ่น
แล้วผมก็เข้าใจว่าด้วยความที่สังคมในญี่ปุ่นนั้นตึงเครียด
ประชากรมีเยอะด้วย ความหลากหลายในตัวคนที่เราพบก็มีเยอะตาม แล้วเขาเลือกที่จะเพิกเฉยครับ
เวลาเจอคนแปลกๆ ไม่ว่าจะกรณีไหน เขาคิดว่าจะทำอะไรก็ทำไปแต่อย่ามาเข้าใกล้กันก็พอ เขาค่อนข้างมีพื้นที่ส่วนตัว
ซึ่งถ้าเป็นที่ไทยก็คงได้ลงโซเชียลกัน (หัวเราะ) ซึ่งส่วนใหญ่ในญี่ปุ่น ถ้ามีคนเจออะไรแปลกๆ แบบนี้
เขาจะนำเรื่องราวพวกนี้ไปเขียนเล่าประสบการณ์ในออนไลน์มากกว่า
8.ใช้อะไรเป็นตัวกำหนดว่าจะเอาเรื่องนี้มาเล่า เช่น มีตีมมั้ย หรือเลือกตามความชอบส่วนตัวว่าอยากเล่า
เคยกำหนดตีมครับ โดยเฉพาะคืนแรกๆ แต่ผมรู้สึกว่าพอกำหนดตีม เช่น ตีมโรงเรียน
แล้วเราก็เล่าแต่เรื่องที่เกี่ยวกับโรงเรียน เรื่องแรกๆ มันจะมีกระแสตอบรับชัดเจนมาก แต่หลังๆ ไป
ต่อให้เรื่องมันดีแค่ไหน แต่กระแสจะแผ่วลง เพราะสถานที่ที่เกิดเรื่องราวมันคือที่เดิม
แล้วเวลาคนเราฟังแต่เรื่องที่เกิดที่เดิมซ้ำๆ รสชาติที่ได้จากเรื่องเล่าจะดรอปลง
ผมเลยพยายามหาเรื่องที่ตีมมีความต่าง ฉีกและแหวกแนวกันเพื่อให้ตัดรสกัน บางทีเราปูเรื่องราว
แล้วก็สังเกตฟีดแบ็กที่ได้จากคนฟัง เราจะพอรู้ว่าเขามีความคาดหวังว่าจะได้เรื่องราวน่ากลัวประมาณไหน
ซึ่งถ้าเราเล่าอะไรซ้ำๆ มันจะน่าเบื่อไปหรือเปล่า แม้ว่าจะนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาจากญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่
แต่บางครั้งก็มีเรื่องเล่าที่มาจากฝั่งยุโรปเพื่อจงใจเปลี่ยนอรรถรสครับ
9.อุปสรรคการทำรายการคืออะไร
นอกจากที่ผมเคยมี Video Conference จากประเทศญี่ปุ่นเพราะตอนนั้นไม่ได้อยู่ไทย
ตอนนี้ก็คงเป็นเรื่องระยะเวลาการหาข้อมูล ตอนแรกมันง่ายมาก แต่หลังๆ แหล่งที่เราหาข้อมูลมันไม่ได้อัพเดตแล้วบ้าง
เราก็ต้องไปหาที่อื่นหรือหาเรื่องราวที่ลึกลงไปอีก ระยะเวลาที่ใช้ก็ต้องเยอะขึ้น อย่างสมมติตอนแรก
ผมสามารถหาเรื่องผีภายใน 1 ชั่วโมงเพราะมันมีเยอะมาก สามารถทำได้ 1 ตอนโดยที่มีระยะเวลา 3 ชม.
แต่ตอนนี้ที่เราเดินทางมาจนจะ 80 ตอนแล้ว กลายเป็นว่าผมต้องใช้เวลาประมาณ 3 วันเต็ม
กว่าผมจะได้เรื่องราวสำหรับ 1 ตอน
10.เพราะเป็นคนชอบเรื่องราวสยองขวัญแบบนี้ตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งได้มีโอกาสมาทำรายการ
ตอนนี้พบว่ามุมมองต่อเรื่องสยองขวัญของตนเองเปลี่ยนไปบ้างมั้ย
เปลี่ยนไปเยอะครับ (หัวเราะ) คนทำก็เติบโตไปพร้อมกับรายการ แรกๆ เราเล่าเรื่องสยองขวัญโดยเน้นการเล่าเรื่อง
แต่ภายหลังเริ่มมีการวิเคราะห์กัน แล้วพอเราเจอเรื่องที่เราวิเคราะห์หรือให้เหตุผลไม่ได้
เรื่องราวเหล่านี้ก็จะยิ่งสยองขวัญขึ้นไปอีก เวลาเราคัดเรื่องเจ๋งๆ มาเล่า ก็ต้องให้คำตอบว่ามันเจ๋งเพราะอะไร
ซึ่งคนฟังก็จะคิดประมาณนี้ เลยเป็นวิธีการนำเสนอที่ต่างจากตอนแรก เพราะมุมมองที่เรามีให้เรื่องสยองขวัญ
มันแตกต่างไป ในเชิงที่เรามองว่ามันมีความลึกมากขึ้น ในทางกลับกันหลังๆ มานี้ก็มีบ้างที่ไม่ได้พยายามหาเหตุผล
เพราะไม่ได้ทำให้สนุกขึ้น เลยเน้นบอกคนฟังว่าฟังเพื่อความบันเทิง เพราะตราบใดที่เราหาเหตุผล
มันจะมีจุดที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลอยู่เสมอ
11.เคยไปสถานที่ที่จัดว่าเฮี้ยนที่ญี่ปุ่นบ้างมั้ย แล้วเป็นยังไง
บ่อยครับ บางครั้งไปแล้วก็ไม่ได้เจออะไร แต่ที่เจอก็เคยเล่าในรายการแล้วว่าครั้งนั้นเราไปโอซากา
มันจะมีภูเขาหนึ่งในโซนมิโน่ เพื่อนผมเล่าว่าแถวนั้นมีบ้านร้างเพราะเหตุไฟไหม้ เลยลองขึ้นเขาไปดู
พอไปถึงก็เห็นแค่พื้นบล็อกบ้าน ด้วยความที่เราเป็นวัยรุ่นแล้วก็ไปล่าท้าผีอะไรแบบนี้ ถ้ามีอะไรให้เราสัมผัสเราก็จะทำ
แต่ตอนนั้นคือผมเข้าไปแล้วสัมผัสได้เลยว่ามันมีอะไรแปลกๆ บรรยากาศมันเปลี่ยนไป ผมเลยบอกเพื่อนว่า เฮ้ย
ตรงนี้ไม่โอเคนะ กลับกันเถอะ สักพักหนึ่งเพื่อนก็รู้ว่ามันแปลกจริง เลยเดินกลับกัน แล้วจังหวะที่เดินกลับเนี่ย
ด้วยความที่บ้านอยู่บนเขา มันก็มีป่า แล้วผมเจอต้นไม้ต้นหนึ่ง ผมเห็นขาคนห้อยลงมาจากต้นไม้นั้น
แล้วก็มีเสียงเด็กร้องเพลงเข้ามาในหัว ตอนนั้นเลยตัดสินใจวิ่งกันโดยไม่ได้นัดหมาย พอถึงรถ ก็ขับลงเขา
แล้วเราอาเจียนกันหมด ผมกับเพื่อนก็คุยว่าใครเจออะไร ทีนี้มันน่ากลัวตรงที่
เพื่อนผมก็ได้ยินเสียงเพลงที่ผมได้ยินเหมือนกัน คือเขาถามผมเลยว่ามันประมาณนี้ใช่มั้ย
แล้วมันตรงกับเพลงที่ดังขึ้นมาในหัวผมตอนนั้น
12.แล้วลองอยากไปที่ไทยบ้างมั้ย
กำลังคิดจะทำครับ มีโปรเจกต์คร่าวๆ แล้วด้วยเพราะในช่องรับทราบก็มีรายการท่องเที่ยวอยู่แล้ว
ผมเลยคิดว่าถ้ามีเวลาก็คงไป โดยแต่ละจังหวัดก็จะหาจุดเฮี้ยนแล้วลองไปดู แต่ไม่ลองของแน่นอน
เพราะส่วนตัวผมลองคิดว่าถ้าผมเป็นเจ้าของที่ แล้วมีคนไปทำอะไรไม่ดีในที่ที่ผมอยู่ ผมคงจะโกรธ
เลยคิดว่าถ้าทำแล้วมีผลเสีย ก็จะไม่ทำ เรามานำเสนอเรื่องราวที่มันไม่มีผลในเชิงลบดีกว่า
อาจไปลองนั่งที่นั่นแล้วไปเล่าเรื่องผีสักเรื่อง อะไรประมาณนั้น
13.อยากให้ลองเทียบเรื่องสยองขวัญญี่ปุ่นกับไทยที่ตัวเองเคยเล่า มีความเหมือนหรือความต่างยังไง
ในมุมมองผม ผมคิดว่าไทยเราเน้นวัฒนธรรมมากครับ คือมีเรื่องศาสนาความเชื่อเยอะมาก เช่น เวลาไปงานศพ
เราเคยได้ด้ายสีแดงมา แล้วเรื่องมันก็เกิดจากตรงนั้น หรือเราไปไหว้ศาลแล้วเราทำผิดวิธี เรื่องราวสยองขวัญต่างๆ
เลยตามมา ส่วนญี่ปุ่นคือผมคิดว่ามันไม่มีเหตุผลครับ (หัวเราะ) ที่ผมชอบเรื่องของญี่ปุ่นคือมันไม่มีเหตุผลเลย
จะเกิดก็เกิด ซึ่งมันดูเรียลมาก มันเป็นมุมมองของประเทศที่มีวัฒนธรรม แต่ถามว่าคนมีความเชื่อทางศาสนามั้ย
ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะนับถือพุทธ แล้วเวลาเจอเนี่ย เรื่องผีมันจึงเป็นเรื่องผี ไม่ได้เป็นเรื่องผีที่เป็นเรื่องของความเชื่อ
ส่วนความเหมือนกันคือพระช่วยได้ทุกอย่าง (หัวเราะ) อย่างเรื่องญี่ปุ่นโหดๆ สุดท้ายก็ต้องมีพระมาทำพิธี
ไทยก็มีนอนในโลงศพ หรือมีพิธีขอขมา แล้วเรื่องความกลัวก็แตกต่างกัน อย่างเช่นไทย
ผมคิดว่าคนไทยกลัวอะไรที่มันชัดเจนเป็นร่างหรือได้เมสเสจชัดเจน แต่ถ้าเป็นญี่ปุ่น เราอาจจะเห็นผีครู่เดียว
แต่สิ่งที่มันน่ากลัวคือสิ่งที่ตามมาหรืออยู่รอบๆ โดยที่ไม่เห็นและจับต้องไม่ได้
อย่างเรื่องคำสาป เป็นต้น องค์ประกอบก็ต่างกัน เช่น ที่ญี่ปุ่นมีตู้กดน้ำเยอะมาก แฟมิลี่มาร์ทที่มีลานจอดรถ
ร้านอาหารตลอด 24 ชั่วโมง พอฉากมีองค์ประกอบต่างกัน เรื่องราวก็จะมีความต่างกันด้วย
14.พอได้ลองทำรายการไลฟ์สดแบบนี้ ฟีดแบ็กที่ได้รับทำให้คุณคิดว่าผู้ฟังมีความเห็นอย่างไร
เกี่ยวกับเรื่องสยองขวัญญี่ปุ่น
สิ่งหนึ่งที่ผมได้รู้จากฟีดแบ็กจากแฟนคลับคือผมรู้ว่าเขามาฟังเพื่อที่จะได้มุมมองใหม่ อยากได้ความกลัวใหม่ๆ
ในตอนแรกเขามาเพื่อฟังเรื่องสยองขวัญ จำนวนผู้ฟังในช่วงแรกก็มีเพิ่มขึ้นและลดลง ภายหลังมันเริ่มคงที่แล้ว
ฉะนั้นผมเลยคิดว่ามุมมองของเขาที่มีต่อเรื่องญี่ปุ่น คือ ความเจ๋ง ความเหนือ อะไรบางอย่างที่สัมผัสที่ไทยไม่ได้
หรือหาฟังที่ไหนไม่ได้ เหมือนคนที่อยากไปญี่ปุ่นแต่ไม่มีโอกาสได้ไป เลยอยากฟังเพื่อสัมผัสประสบการณ์
ในอีกรูปแบบหนึ่ง แล้วเคยเล่าเรื่องผีญี่ปุ่นแล้วเจอฟีดแบ็กจากผู้ฟังเป็นเชิงว่าเขาเจอเหมือนกับเรื่องที่เราเล่าเลย
เพียงแต่เจอที่ไทย ฉะนั้นเรื่องสยองขวัญญี่ปุ่นบางเรื่องเนี่ย พอเราเล่าไปก็พบว่ามันเหมือนเรื่องที่ไทยเป๊ะ
เช่น คนในเรื่องตัดสินใจทำเหมือนกันในสถานการณ์คล้ายๆ กัน แล้วมีจุดจบเหมือนกัน
ซึ่งเหมือนเรื่องไทยมากทั้งที่มันเป็นเรื่องญี่ปุ่น
15.ถ้าจะให้คำจำกัดความ “เรื่องสยองขวัญญี่ปุ่น” จะจำกัดความยังไง
ถ้าเอาจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ผมมี ผมคงจำกัดความว่า “เรื่องน่ากลัวที่ต้องใช้ความเข้าใจ”
นับว่าเป็นเรื่องเข้าถึงยากมั้ยก็ยากที่จะเข้าถึงแก่นแท้นะ แต่ถ้าเข้าใจว่าทำไมเขาถึงเรียบเรียงเรื่องราวมาแบบนี้
ทำไมถึงเจอมาแบบนี้ พอยิ่งรู้เกี่ยวกับมันมากขึ้นก็จะยิ่งน่ากลัว ผมรู้สึกว่าเรื่องสยองขวัญญี่ปุ่นมันเป็นแบบนี้ครับ
16.แพลนต่อไปสำหรับรายการคืนพุธ มุดผ้าห่ม
ผมคิดว่าจะหยุดตอนที่ 100 ครับ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะหยุดทำนะ แต่หมายถึงจบซีซันในตอนที่ 100
แล้วคงไปพัก 2-3 เดือนหรืออาจจะครึ่งปี เพื่อจะได้ไปสะสมประสบการณ์มาใหม่แล้วเตรียมพร้อมสำหรับซีซัน 2
แล้วในตอนที่ 100 ที่ว่านั้นคงทำเรื่องเทียน 100 เล่มหรือเล่าเรื่องผีให้ครบ 100 เรื่องในการถ่ายทอดสดคราวเดียวครับ
ติดตามผลงานและเรื่องราวของเขาได้ที่
IG : tk.tonkla
Facebook : GGTKcastation
Twitch : www.twitch.tv/rubsarb
Youtube Channel : RUBSARB production