หรือนี่จะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ “รถบัสไม่มีคนขับ”
ความน่าเบื่ออย่างหนึ่งของคนกรุงเทพฯ ก็คือ ปัญหาขนส่งมวลชนขั้นพื้นฐานที่สุด อย่างรถเมล์สาธารณะบางสาย ที่แม้ปีนี้จะเป็นปี ค.ศ.2021 แล้ว แต่ก็ยังมีคนขับสันดานเสียอยู่บนท้องถนนเมืองไทยไม่เคยเปลี่ยน ทั้งขับเร็ว จอดเลยป้าย จอดไม่สนิท ปิดประตูไม่ดูคน แข่งกันทำรอบแย่งผู้โดยสาร นึกจะเปลี่ยนเลนก็เปลี่ยน ฯลฯ เสมือนหนึ่งของคู่ชาติที่ต้องส่งผ่านความฉิบหายกันรุ่นสู่รุ่น จนเมื่อได้เห็นข่าวรถบัสไร้คนขับ หรือ Self-driving Buses ของญี่ปุ่น เราก็แอบรู้สึกอยู่ในใจ หรือนี่จะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์!
เนื้อข่าวนั้นว่าด้วยเรื่องของรถบัสไร้คนขับที่ออกเดินสายให้บริการชาวเมืองซาไก จังหวัดอิบารากิ แบบฟรี ๆ โดยเริ่มวิ่งมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ถึงตอนนี้ทุกอย่างยังไปได้สวย แม้ระยะทางไป – กลับสำหรับรถบัสสายนี้จะมีแค่ 5 กิโลเมตร แต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่งดงาม
นับเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นที่มีการนำรถบัสไร้คนขับมาให้บริการบนถนนสาธารณะจริง ๆ โดยความเร็วสูงสุดของรถบัสไร้คนขับจะอยู่ที่ประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รองรับผู้โดยสารได้ 9 คน แต่ตอนนี้รับได้แค่ 4 เพราะต้องพยายามรักษาระยะห่างทางสังคมเอาไว้ก่อน ส่วนเรื่องเส้นทางและพิกัดของรถบัสนั้นมีการควบคุมและแสดงผลผ่านระบบจีพีเอสโดยอาศัยสัญญาณดาวเทียม
ในกรณีที่มีสิ่งกีดขวาง รถบัสจะชะลอและหยุดวิ่งทันที เพราะมีเซ็นเซอร์ 360 องศาที่สามารถตรวจจับสิ่งกีดขวางรอบ ๆ ได้อย่างละเอียด ซึ่งตลอดช่วง 2 เดือนที่ได้เริ่มให้บริการไป พบว่ายังไม่มีเหตุขัดข้องหรืออุบัติเหตุเกิดขึ้นเลยสักครั้ง
แต่แม้จะเป็นรถบัสไร้คนขับ ถึงกระนั้นก็ยังต้องมีเจ้าหน้าที่อยู่ในรถอยู่ดี อันเนื่องมาจากข้อกำหนดทางกฎหมายที่ระบุไว้ว่า รถที่วิ่งอยู่บนถนนสาธารณะจำเป็นต้องมีผู้ขับขี่ เพราะงั้นเราจึงได้เห็นเจ้าหน้าที่คอยประจำการอยู่ที่เบาะหลังตลอด ซึ่งพี่เจ้าหน้าที่เค้าก็ไม่ได้เข้าไปนั่งเฉย ๆ แต่ในมือจะมีจอยสติ๊กถือไว้ตลอด แน่นอนว่าพี่เค้าไม่ได้เข้าไปนั่งเล่นเกม แต่จอยสติ๊กนั้นมีไว้สำหรับควบคุมฉุกเฉินอีกทีในกรณีที่อาจมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด
ปัจจุบันรถบัสไร้คนขับสายนี้มีจุดจอดแค่ 2 ป้าย แต่ถึงกระนั้นก็มีการวางแผนเอาไว้ว่าจะทำการเพิ่มจุดจอดให้มากขึ้นเป็น 9 ป้ายบนเส้นทางเดินรถ อาทิเช่น ป้ายหน้าโรงพยาบาล ป้ายหน้าธนาคาร ป้ายหน้าโรงเรียนประถม เป็นต้น
ความไซไฟแบบในหนังที่เริ่มต้นขึ้นในเมืองบ้านนอกเล็ก ๆ
คิดว่าคงมีหลายคนสงสัยว่าทำไมต้องเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ออกจะไกลปืนเที่ยงอย่างซาไก นายกเทศมนตรีแถลงไขว่า ความที่ซาไกนั้นเป็นเมืองเล็ก ๆ รถบัสจึงมีน้อย ชั่วโมงหนึ่งจะมาสักคันสองคัน พูดง่าย ๆ ว่าใครไม่มีรถก็อยู่เมืองนี้ลำบาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัยซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของเมืองที่ไม่สะดวกขับรถ
อีกทั้งการที่จะหาคนหนุ่มสาวมาทำงานขับรถโดยสารในเมืองที่ออกจะบ้านนอกนั้นก็ไม่ง่าย ด้วยเหตุนี้ รถบัสไร้คนขับจึงเข้าล็อกพอดีกับชาวเมืองซาไกที่ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัย ตามแบบฉบับของเมืองเล็ก ๆ ในย่านชนบทของญี่ปุ่นที่คนหนุ่มสาวหนีเข้าไปทำงานในเมืองใหญ่กันหมด
และหากทุกอย่างยังดำเนินไปได้ด้วยดี หลังจากนี้เราคงจะได้เห็นบริการรถบัสไร้คนขับในอีกหลาย ๆ เมืองที่ไกลปืนเที่ยงของญี่ปุ่น
เคยคิดว่าเทคโนโลยีรถไร้คนขับที่เราเคยเห็นกันในหนังไซไฟประมาณนี้ จะเริ่มต้นในเมืองใหญ่หรือพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางความเจริญของประเทศ กลายเป็นว่าความไซไฟแบบในหนังมันเริ่มต้นขึ้นในเมืองบ้านนอกเล็ก ๆ ซะอย่างนั้น
รถบัสไร้คนขับ (Self-driving Bus)
แม้ส่วนตัวจะรู้สึกไม่ดีกับเทคโนโลยีที่ไร้ปฏิสัมพันธ์กับผู้คน แต่สำหรับรถบัสไร้คนขับ ขอบอกเลยว่าเราชอบมากสำหรับการนำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหาของชาวเมืองได้ในหลากหลายมิติ
และจะยินดีมาก ๆ หากเทคโนโลยีนี้จะถูกนำมาใช้ในบ้านเราไว ๆ ยิ่งไวเท่าไหร่ยิ่งดี
ฉิบหายกันไปเท่าไหร่แล้ว… กับสันดานคนขับประเภทเมล์นรกหมวยยกล้อ
ที่มักจะรีบไปหาพ่อ!
คราวนี้แหละจะได้บอกลาสาย 8 ในตำนานนั่นซะที
อ้างอิง
www.softbank.jp/en/sbnews/entry/20200128_01
https://re-how.net/all/919276
www.startyourengines.net/pressrelease/128219
รูปประกอบ : https://response.jp
“แผ่นดินไหว ภัยธรรมชาติที่เป็นเรื่องปกติของคนญี่ปุ่น” คลิก
“ขอได้ไหม รอยเท้าของลูกสาวที่ตายไป” คลิก
“YOASOBI ศิลปินคู่ผู้สร้างโลกแห่งเสียงเพลงจากตัวหนังสือในนิยาย” คลิก