What Do You Think?


Million Yen Women

จำเป็นต้องเรียนรู้เพื่ออยู่กับการสูญเสีย

Million Yen Women ดัดแปลงมาจากการ์ตูนของ ชุนจู อาโอโนะที่มีชื่อว่า 100 Man En No Onna Tachi
กำกับโดย มิชิฮิโตะ ฟูจิ ที่เคยกำกับภาพยนตร์มาแล้วมากมาย เช่น The Journalist (2562) และ Tokyo City
Girl (2559) เป็นต้น คราวนี้ได้มากำกับซีรีส์ที่ผสมทั้งดราม่า ลึกลับ และตลก นักแสดงก็มีแต่ตัวท็อปทั้งนั้น
ยอมรับว่าสนใจดูเพราะชอบนักแสดงนี่แหละ

ชิน มิชิมะ นักเขียนนิยายผู้เป็นเจ้าของบ้านที่บังเอิญจับพลัดจับผลูมาอยู่อาศัยกับผู้หญิง 5 คนซึ่งได้รับคำเชิญปริศนา
ให้มาพักบ้านของเขา นอกจากนี้ทุกคนยังต้องใช้กฎร่วมกัน 5 ข้อ คือ
1.ชินไม่สามารถถามเรื่องส่วนตัวของพวกเธอ
2.ไม่สามารถเข้าห้องของผู้หญิงทั้งหลายโดยไม่ได้รับอนุญาต
3.ทุกคนต้องกินมื้อเย็นร่วมกัน
4.เขาต้องคอยดูแลสมาชิกในบ้าน
และสุดท้ายคือสมาชิกหญิงทุกคนต้องจ่ายค่าเช่าเดือนละ 1 ล้านเยนแก่เจ้าของบ้าน นับๆ ดูก็ตกเดือนละล้านกว่าบาทไทย

สำหรับคนที่อ่านมาถึงจุดนี้โดยที่ยังไม่เคยดูซีรีส์อาจคิดว่าบุญหล่นทับเพราะพระเอกของเราทำเพียงแค่ดูแลสาวทั้ง 5 คน
เหมือนเป็นเพียงแขกที่มาพักแลกกับเงินจำนวนมหาศาล นอกจากเป็นพ่อบ้านทำงานจิปาถะ เช่น ทำอาหาร หรือจ่ายตลาด
กิจกรรมอีกอย่างที่ต้องทำคือลงมือเขียนนิยายนั่นเอง ชีวิตประจำวันเป็นไปอย่างธรรมดาแต่ผู้ชมคงสัมผัสได้ว่าบรรยากาศ
มันแฝงไปด้วยความไม่ธรรมดาซึ่งยังอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ในตอนต้น

เรื่องพิลึกยังไม่จบเพียงเท่านี้เพราะเขายังได้รับข้อความทางแฟกซ์ทุกวัน โดยมีเนื้อความด่าทอและสาปแช่งให้ไปตาย
อยู่เสมอ เมื่อดูไปสักพักก็เข้าใจว่าที่ชินได้รับถ้อยคำแสดงความเกลียดชังทุกวันนั้นเพราะพ่อของเขาเป็นนักโทษประหาร
ในคดีฆาตกรรม เขาสังหารคุณแม่ของชิน ชู้ของเธอ และนายตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์ ทำให้ชินถูกตราหน้าว่าเป็นลูกชาย
ของฆาตกรไปโดยปริยาย

ชินสร้างกฎในการเขียนนิยายเพราะเหตุการณ์เลวร้ายในอดีต โดยมีเพียงข้อเดียวคือ ต้องไม่มีตัวละครไหนตายเป็นอันขาด
เขาไม่ต้องการแม้กระทั่งจะเขียนฆ่าตัวละครของตัวเองด้วยซ้ำเพราะไม่อยากกลายเป็นฆาตกรเหมือนพ่อตัวเอง

แม้ว่าเรารู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้จะต้องมีปมบางอย่างที่เกี่ยวพันระหว่างชีวิตของชิน การกระทำเลวร้ายที่เขาไม่ได้ก่อ
รวมถึงความเป็นมาเป็นไปของหญิงแต่ละคนที่เข้ามาพักที่บ้านจนเกิดแรงผลักบางอย่างทำให้ชินสามารถเขียนนิยาย
ได้จนจบ ซีรีส์เรื่องนี้มีประเด็นให้ยกจับมาพูดคุยได้หลายอย่างเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ แต่สุดท้ายกลับอยากยกเรื่อง
การเรียนรู้เพื่ออยู่กับความสูญเสียขึ้นมากล่าว เพราะเชื่อว่าปีที่ผ่านมานี้ พวกเราล้วนประสบกับความสูญเสียมากมาย
เหลือเกิน แล้วมันก็มาในลักษณะที่ไม่ทันได้เตรียมใจ ความเศร้าและความรู้สึกหดหู่จึงถาโถมเข้ามาไม่ต่างจากการ
ยัดเยียดให้จำนนยอมรับ ชินต้องรับการสูญเสียของทั้งแม่และพ่อ รวมถึงอะไรหลายๆ อย่างไปถึงตอนสุดท้าย ระหว่าง
ที่เรื่องราวดำเนินไป เราก็เห็นว่าพระเอกพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อมีชีวิตอยู่อย่างปกติ แต่ไม่ว่ายังไงก็มี
เรื่องวิ่งเข้าหา จนอยากจะกอดขาผู้กำกับว่าให้หยุดก่อนเถอะจ้ะพ่อ สงสารตัวละครไม่ไหวแล้ว(โว้ย)

แต่ให้ทำยังไงได้ในเมื่อทุกคนก็ต้องพบเจอกับความสูญเสียเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะพร้อมหรือไม่ หรือไม่ว่าจะมาในรูปแบบ
ใดก็ตาม ความสูญเสียนั้นทำให้เราเว้าแหว่ง เสียบาลานซ์ กว่าจะกลับมายืนอย่างมั่นคงได้ก็ต้องอาศัยเวลาและการพึ่งพิง
คนอื่น มันน่าตั้งคำถามว่าแท้จริงแล้วเราสามารถเผชิญปัญหาได้โดยไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากใครจริงหรือเปล่า
เราสามารถแหกกรอบความคิดที่ว่ามนุษย์คือสัตว์สังคมได้หรือไม่ หรือมีเรื่องอะไรที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้อีก

หากแต่ถามว่าเกิดมาเป็นมนุษย์สักครั้งหนึ่ง เราไม่สูญเสียอะไรเลยได้ไหม ทุกคนก็คงทราบคำตอบกันอยู่แล้ว
ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ บางทีซีรีส์เรื่องนี้ก็อาจจะตอกย้ำแก่นชีวิตที่เราต้องกัดฟันเผชิญ ไม่ใช่เพียงแค่เรียนรู้
ที่จะรับมือให้อยู่กับมัน แต่เพราะมัน “จำเป็นต้อง” ทำให้ได้แม้จะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม มันกลายเป็นความจริงแท้
ที่ไม่มีใครอยากยอมรับ เมื่อเรายังมีมันอยู่ก็ไม่ได้เตรียมตัว เตรียมใจว่าสักวันหนึ่งมันจะถูกพรากไป ทุกคนดำเนินชีวิต
ไปตามปกติ จนกระทั่งความสูญเสียมายืนรออยู่เบื้องหน้า โดยไม่ทันได้รู้ตัว แล้วกระชากอะไรบางอย่างออกจาก
ตัวเราไปโดยไม่เคยเตือนก่อน ของอะไรแบบนี้ไม่เคยบอกอะไรเราล่วงหน้าอยู่แล้ว

สิ่งที่เราทำได้คือการเตรียมตัวเตรียมใจ รอรับมือกับการฉุดกระชากของมัน ถึงจะทำให้ตัวเราล้มลุกคลุกคลาน
แต่ด้วยความที่ชีวิตต้องดำเนินต่อ เราก็ต้องเลือกว่าจะล้มอยู่เช่นนั้นหรือลุกขึ้นมาแล้วก้าวต่อไป

แล้วคุณล่ะ คิดอย่างไร?

ภาพโดย Netflix

views