Story Teller พี สะเดิด P-Saderd เขาเรียกผมว่าเอเลน

Story Teller : อาชีพนักดนตรีกับการถ่ายทอดเรื่องราวดีๆ ผ่านบทเพลง

“วันที่ใจหมดสิ้นความหวัง วันที่ไร้ซึ่งหนทาง สู้กับใจหนักกว่าสู้กับใคร ยากที่จะข้ามผ่าน…” จากส่วนหนึ่งของบทเพลงที่ถูกแต่งขึ้นจากมุกตลกอารมณ์ดีที่เกิดขึ้นในโลกโซเชียลถึงหน้าตาของ “พี สะเดิด” ที่มีความคล้ายกับเอเรน เยเกอร์ ตัวละครหลักจากมังงะและอเนิเมะชื่อดัง Attack on Titan story teller

หลังจากพี สะเดิดรับรู้ถึงกระแสที่เกิดขึ้น เขาก็ได้เข้ามาร่วมสนุกกับเหล่าสาวกการ์ตูนในโลกออนไลน์ โดยทวิตว่า “ผมอ่านทุกทวิตนะ” ก่อนจะโพสต์ต่อว่า “กำลังคิดว่าถ้า Follower ถึง 1000 จะแต่งเพลง เขาเรียกผมว่าเอเลน สักเพลง” จนเกิดเป็นกระแสในโลกโซเซียล มีคนรีทวิตไปกว่า 10,000 ครั้ง และทำให้ยอดฟอลโลเวอร์พุ่งทะยานแตะหมื่นภายในชั่วข้ามคืน จนเกิดเป็นที่มาของเพลง “เขาเรียกผมว่าเอเรน”

Story Teller พี สะเดิด P-Saderd เขาเรียกผมว่าเอเลน

ทำไมจึงตัดสินใจเลือกเส้นทางเดินในการเป็นนักร้อง

การร้องเพลงของผมเริ่มต้นจากการร้องเป็นงานอดิเรก เราได้ฟัง ได้ซึมซับเรื่องดนตรีจากคนในบ้าน พ่อชอบเปิดเพลงฟัง พี่ชอบเล่นกีต้าร์ ก็เลยซึมซับมาเรื่อยๆ แต่จุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมได้มาร้องเพลงอย่างจริงจังก็น่าจะเป็นตอน ป.5 ตอนนั้นฝึกเล่นกีต้าร์แล้วรู้สึกว่าอยากจะเล่นกีต้าร์ไปด้วยร้องเพลงไปด้วย ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เริ่มฝึกร้องเพลงตั้งแต่ตอนนั้น

ส่วนการได้มาเป็นนักร้องมันเริ่มจากการที่เราได้เป็นนักร้องของโรงเรียนตอนสมัยมัธยม ผมเข้าร่วมงานประกวดร้องเพลงแล้วอาจารย์มาเห็นเลยชวนให้เข้าวง ตอนนั้นก็เลยเรียนไปด้วยเป็นนักดนตรีไปด้วยมาตั้งแต่ช่วงม.2 ม.3 จนมาเรียน ปวช. ก็ยังเล่นดนตรีที่โรงเรียนกับเพื่อนๆ พอขึ้น ปวส. เราเลยตัดสินใจทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยโดยการเป็นนักดนตรีกลางคืน ร้องเพลงและเล่นดนตรีในช่วงกลางคืน นั่นเลยเป็นจุดเริ่มต้นให้มีคนเริ่มเข้ามาชักชวนให้เป็นนักร้อง

เพลงไหนที่คิดว่าเป็นเพลงฮิตและทำให้พี สะเดิดโด่งดังขึ้นมาได้

เพลง “สาวซำน้อย” ที่เป็นเพลงเปิดตัว ตั้งแต่เมื่อ 25 ปีที่แล้วครับ เป็นเพลงเปิดตัวที่ทำให้มีคนรู้จักเราในยุคแรก อาจเพราะดนตรีมีความแปลกใหม่สำหรับยุคสมัยนั้น เพราะสำหรับตอนนั้น แนวดนตรีจะถูกแบ่งชัดเจน เป็นแนวลูกทุ่ง แนวเพลงภาคกลาง หรือหมอลำก็จะแบ่งชัดไปเลย แต่เพลงของผมเหมือนเอาทุกแนวมารวมกันก็เลยกลายเป็นเรื่องแปลกสำหรับเมื่อตอน 25 ปีที่แล้ว และทำให้มีคนรู้จักผมในวงกว้างมากขึ้น

สำหรับพี สะเดิดแล้ว นิยามแนวเพลงของตัวเองว่าเป็นแนวอะไร

แนวแห่งความสุขครับ! ผมไม่ยึดติดกับแนวเพลงนะเพราะคิดว่าดนตรีมันเป็นเรื่องของการผสมผสาน แล้วแต่ว่าใครกล้าที่จะทำ เช่น คนที่เล่นดนตรีแจ๊ส เขาก็มักจะเล่นเฉพาะแจ๊ส มากสุดก็อาจจะเป็น Jazz Rock, Blues Jazz หรือ Jazz อะไรก็ว่ากันไป ส่วนคนที่เล่นดนตรีร็อคก็จะเป็นร็อคในแนวทางของเขา เพราะร็อคมีหลายประเภทยิบย่อยมาก

แต่แนวดนตรีของผม ผมเห็นว่ารสนิยมของคนไทยหรือนิสัยของคนไทยมักจะชอบความสนุกรื่นเริง มีความสนุกอยู่ในใจ ถ้าเราไม่เลือกเพลงที่สนุกมาร้อง ผมมองว่ามันเข้าถึงคนทุกกลุ่มได้ยาก ก็เลยลองจับทางของตัวเองแล้วพบว่าแนวเพลงของผมเองน่าจะเป็นแนวอะไรก็ได้ที่ทำให้ทุกคนมีความสุขและสนุกไปกับมัน เพราะผมเปิดกว้างกับเรื่องดนตรีอยู่แล้ว ฟังเพลงเยอะ ฟังหลากหลายแนว ก็เลยคิดว่ามันขึ้นอยู่กับยุคสมัยมากกว่าว่าใครจะเอาอะไรมาผสมกับอะไร

Story Teller พี สะเดิด P-Saderd เขาเรียกผมว่าเอเลน

ห่างหายจากการทำอัลบั้มเต็มไปนาน การได้กลับมาสร้างสรรค์งานเพลง โดยครั้งนี้ต้องสร้างจากกระแสบนโลกโซเชียลเรื่องความคล้ายคลึงของเอเรน เยเกอร์กับคุณพี สะเดิดเอง เป็นอย่างไรบ้าง

ผมปล่อยอัลบั้มล่าสุดเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว แต่จริงๆ ก็ทำงานเพลงอยู่ตลอด ก่อนหน้าที่จะมีเพลง “เขาเรียกผมว่าเอเรน” ก็ทำเพลงมาเรื่อยๆ ซึ่งก็ได้ทยอยปล่อยออกมาทีละเพลง รวมแล้วประมาณ 3 – 4 เพลง เพื่อรวบรวมไว้สำหรับทำอัลบั้มเต็ม เรียกได้ว่าผมทำเพลงเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว และพอมีกระแสมีมเอเรนก็เลยอยากจะทำเพลงขึ้นมา โดยตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะทำออกมาจริงจังขนาดนี้ แต่เพราะอยากจะให้เกียรติคนฟัง ให้เกียรติแฟนเพลง เลยคิดว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วต้องทำให้เต็มที่ไปเลย จนกลายเป็นเพลงและมิวสิควิดีโอที่ทุกคนได้ชมกันนั่นเอง

ผลตอบรับเพลง “เขาเรียกผมว่าเอเรน” เป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกเกินความคาดหมายรึเปล่า

เกินความคาดหมายและความตั้งใจไปเยอะเลยครับ

รู้มาว่าปกติอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นอยู่แล้ว เคยอ่าน Attack on Titan ด้วยรึเปล่า

อ่านครับ แต่ส่วนใหญ่จะดูอนิเมะมากกว่า

แล้วถ้าไม่ใช่เอเรน คิดว่าตัวเองเหมือนหรือคล้ายคาแรคเตอร์การ์ตูนญี่ปุ่นตัวไหนมากที่สุด

ผมว่าผมคล้าย “โอโรจิมารุ” (大蛇丸, Orochimaru) จากเรื่อง “นารูโตะ นินจาจอมคาถา” (NARUTO) อยู่ประมาณหนึ่งนะ แต่โอโรจิมารุดูเป็นจินตนาการมากไปเลยคิดว่าเอเรนนี่แหละที่คาแรคเตอร์ใกล้เคียงกับตัวเองมากที่สุด ดูจับต้องได้มากกว่า แถมยังเป็นฮีโร่ของหน่วยสำรวจด้วย

Story Teller พี สะเดิด P-Saderd เขาเรียกผมว่าเอเลน

แล้วจากกระแสการทำเพลง “เขาเรียกผมว่าเอเรน” ชีวิตเปลี่ยนไปมั้ย หรือมีผลกระทบอะไรกับชีวิตบ้าง

ในแง่ของการออกทัวร์เล่นดนตรีก็ยังเหมือนเดิมนะ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเราสนิทกับแฟนคลับกลุ่มวัยรุ่นมากขึ้น แน่นแฟ้นกันมากขึ้น ได้พูดคุยกับแฟนๆ ผ่านทางทวิตเตอร์ทำให้เขาเข้าถึงเราได้ง่ายขึ้น ได้เห็นวิธีการทำงานของเรามากขึ้นก็เลยทำให้พวกเขารู้จักเรามากขึ้น ทำให้พวกเรารู้สึกไม่ห่างกันครับ

นอกจากการ์ตูน มีความสนใจเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับญี่ปุ่นด้วยรึเปล่า

สนใจเยอะมากครับ ทั้งเรื่องวัฒนธรรม ผมว่าวัฒนธรรมของเขาเข้มแข็งมากๆ ทั้งเรื่องความชาตินิยมที่มันอยู่กับความเจริญได้เป็นอย่างดี และเป็นบ่อเกิดเรื่องอัตลักษณ์ของญี่ปุ่น ทำให้เขามีภาพลักษณ์ที่แข็งแรงอย่างเรื่องวินัยของคนญี่ปุ่น ผมมองว่าพอคนในประเทศมีวินัยดี ระบบบ้านเมืองก็จะดี แล้วชีวิตก็ดีด้วย หรือเรื่องเทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่งจนเป็นหนึ่งในมาตรฐานของโลก เพราะเขาพยายามพัฒนาอยู่ตลอดเวลา เป็นต้น

มีเพลงหรือวัฒนธรรมอะไรของญี่ปุ่นที่มีอิทธิพลต่อการทำเพลงด้วยมั้ย

น่าจะเป็นเรื่องของเครื่องดนตรีและเทคโนโลยีในการพัฒนาเครื่องดนตรีของญี่ปุ่นเนี่ยแหละ เครื่องดนตรีทั้งหมดบนโลกใบนี้ทุกคนปฏิเสธไม่ได้ว่ามีแบรนด์ของญี่ปุ่นอยู่ประมาณ 70% ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันผมซื้อกีต้าร์ที่ญี่ปุ่นเยอะมาก แล้วก็เรื่องความไม่หยุดนิ่งของนักดนตรีญี่ปุ่นที่ล้ำมากๆ ที่มีอิทธิพลต่อผมด้วยเช่นกัน

แล้วนักร้องชาวญี่ปุ่นที่ชื่นชอบบ้างหรือไม่

X Japan ครับ ชอบมากๆ แต่ก็นานแล้วนะ เพราะพอเกิดเหตุการณ์โศกนาฎกรรมครั้งนั้นก็ไม่ได้ติดตามต่ออีกเลย

ได้ข่าวว่ากำลังจะมีผลงานเพลงใหม่เป็นแนว EDM อะไรที่เป็นแรงบันดาลใจให้ตัดสินใจลองทำเพลงแนวนี้

อย่างที่บอกไปว่าผมไม่เคยหยุดนิ่งในการทำเพลง แล้วก็ชอบและเห็นว่าดนตรีแต่ละแนวมันมีเอกลักษณ์ของมัน อย่างดนตรีร็อคที่จะให้ความรู้สึกตื่นเต้น รู้สึก pump up ส่วนดนตรีแนว EDM ที่ให้ความรู้สึก pump up เหมือนกัน แต่มันจะเป็นในอีกรูปแบบ ผมว่ามันเป็นศาสตร์ชั้นสูงมากๆ อีกแขนงเลยนะก็เลยอยากจะทดลองดูว่ามันจะออกมาเป็นยังไง

ซึ่งผมเองก็มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนต่างชาติหลายคนตามงานเทศกาลต่างๆ หลายคนเป็นดีเจในระดับแนวหน้าของเพลงแนวนี้ เขาก็ตอบรับมาว่าเราสามารถไปร่วมทำเพลง ไป collaboration กับเขาได้ แต่แรกเริ่มแล้วผมทำเพลงไว้เองก่อน แล้วค่อยนำไปเสนอตามงานดนตรีแนว EDM ซึ่งพอเขาได้ฟังแล้วเขาบอกว่ามันโอเค เขาก็ตอบรับให้ไปเล่นในงานได้

เรื่องของซาวน์แนว EDM ก็เป็นคนในทีมที่ช่วยกันทำ เลือกเอง จัดวางกันเอง โดยผมจะทำเป็นแนวทางหรือเป็น reference ขึ้นมาก่อน แล้วทีมก็จะเลือกซาวน์มาจัดวาง ทำท่อนดนตรี และค่อยลงเนื้อเพลง เรียกได้ว่ากันทำเองเกือบ 100% นั่นแหละ โดยเนื้อเพลงจะเป็นเนื้อเพลงแนวธรรมะ ก็คือจะพยายามสอดแทรกให้เห็นสัจธรรม คนฟังอาจจะรู้สึกได้นิดๆ หรืออาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรเลยก็ได้ ซึ่งก็ไม่เป็นไร แต่แค่พวกเขาได้อะไรจากเพลงที่ผมทำบ้าง แม้เพียงแค่เล็กน้อย ผมก็ดีใจแล้ว


สำหรับผมในตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องของความกังวลอีกต่อไป


มีความกังวลรึเปล่ากับการหันมาลองทำเพลงที่เปลี่ยนแนวไปจากเดิม

ผมผ่านความกังวลมาเยอะแล้ว ตอนนี้ไม่กังวลแล้วครับ โตแล้ว ปล่อยวางแล้ว สำหรับผมในตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องของความกังวลอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของการรอรับคำติชมมากกว่า ด่าได้ ชมได้ ไม่เป็นไร เป็นความตื่นเต้นที่จะได้รับ feedback จากคนฟังซะมากกว่า

ช่วยเล่าถึงเพลงใหม่เพลงนี้ให้เราฟังเพิ่มเติมอีกสักหน่อยว่ามันเกี่ยวกับอะไร

เพลงใหม่ที่เตรียมจะปล่อยออกมาเป็นเพลงแนว EDM ที่มีเนื้อหาสอดแทรกธรรมะ มีภาษาอีสานเพราะผมอยากให้ EDM ของผมมันชัดในเรื่องสัญชาติของเรา ก็เลยจะการใช้คำ ใช้ภาษาและมีเมโลดี้ของอีสานอยู่ในนั้นด้วย น่าจะได้ฟังกันเร็วๆ นี้ ขอดูจังหวะเวลาก่อน แต่ระหว่างนี้ก็อาจจะมีเพลงแนวอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

กระแสจากแฟนคลับทั้งจากกลุ่มเดิมและกลุ่มใหม่เป็นอย่างไรบ้าง มีกระแสต่อต้านกับแนวเพลงที่เปลี่ยนไปรึเปล่า

กระแสจากแฟนคลับก็ดีนะ แฟนกลุ่มใหม่ได้เห็นสิ่งใหม่ๆ ที่เราทำ โดยพวกเขาอาจจะไม่เคยรู้จักเรามาก่อนด้วยซ้ำเพราะยุคสมัยมันเปลี่ยนเร็วมาก แต่ ณ ปัจจุบันเด็กเล็กๆ ก็รู้จักเรา เด็กมัธยม ประถมก็รู้จักเรา ซึ่งมันบ่งบอกว่าโลกโซเชียลมีอิทธิพลต่อคนยุคนี้มากๆ ถ้าเราจะทำสื่อหรืองานบันเทิงมันจึงต้องมีสิ่งเหล่านี้ด้วย เพื่อใช้เป็นช่องทางกระจายผลงานให้คนได้รู้จักเรามากขึ้น

ส่วนแฟนเพลงกลุ่มเดิมก็อาจจะมีงงบ้างเพราะเขาคุ้นเคยกับความเป็นเราในแบบเดิม ส่วนหนึ่งก็มีเปิดรับ อีกส่วนหนึ่งก็บอกให้กลับไปร้องเพลงแบบเก่าซึ่งเขาอาจจะรับไม่ได้ อาจจะไม่เห็นด้วยกับแนวเพลงใหม่ของเรา แต่อย่างไรก็ตาม ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองมาตลอดอยู่แล้ว เลยมองว่าไม่เป็นไร หากพวกเขาจะรับไม่ได้ เพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ก็ต้องก้าวเดินต่อไป ก็ถือว่าแฟนคลับกลุ่มเดิมที่ยังสนับสนุนเราอยู่ก็มี และในขณะเดียวกันก็ได้แฟนคลับกลุ่มใหม่เพิ่มเข้ามาด้วย ผมคิดแบบนั้นนะ

อนาคตอยากจะลองทำเพลงแนวไหนอีกมั้ย หรืออยากลองทำอะไรนอกเหนือจากการเป็นนักร้อง นักดนตรีด้วยรึเปล่า

ตอนนี้ผมมีไอเดียเพียบ! แต่หลักๆ ก็จะยืนพื้นกับสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบก่อนคือเพลงร็อค ส่วนแนวเพลงอื่นๆ ทั้งแนว world music ที่เป็นแนวผสมกับเพลงพื้นบ้าน แนว EDM หรือเพลง blues ก็ตั้งใจว่าจะทำแน่นอน เนื้อเพลงก็มีเขียนไว้เยอะแล้วเหมือนกัน ตอนนี้คือเหลือแค่จะแบ่งเวลาให้กับการทำเพลงแต่ละแนวยังไงแค่นั้นเอง

ส่วนงานด้านอื่นๆ เพราะเรายังมีความสุขกับตรงนี้อยู่ แล้วก็เป็นสิ่งที่เราถนัดที่สุดแล้ว มีความสุขกับมันมากที่สุดแล้ว เลยคิดว่ายังไงก็คงทำเพลงต่อไป มองไปข้างหน้าอีก 10 ปี 20 ปี ผมก็ยังคงเห็นตัวเองเป็นนักดนตรีอยู่ และที่มากไปกว่านั้นก็คือ เราอยากเขียนเรื่องราวดีๆ ผ่านบทเพลงให้มันสะท้อนบางสิ่งบางอย่างออกมาแล้วเกิดประโยชน์ได้มากที่สุดต่อคนฟัง

สุดท้ายแล้ว ฝากอะไรถึงผู้อ่านดาโกะหน่อย

ก่อนอื่นต้องขอบคุณทีมงานดาโกะทุกคนที่ให้เกียรติผมในวันนี้ ที่มองเห็นอะไรบางอย่างในตัวผม แล้วก็หวังว่าผู้อ่านดาโกะจะได้อะไรจากการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ไม่มากก็น้อย และที่มากไปกว่านั้นก็คืออยากให้ทุกคนมีความสุขกับโลกใบนี้ครับ อยากให้วัฒนธรรมของเราไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่นหรือไทยเชื่อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แล้วก็หวังว่าคนญี่ปุ่นจะได้อะไรดีๆ จากเมืองไทย และคนไทยจะได้อะไรดีๆ จากญี่ปุ่นครับ


ติดตามและเป็นกำลังใจให้ “พี สะเดิด” ได้ทาง


Website / Facebook / Youtube / Instagram / Twitter

สัมภาษณ์และเรียบเรียงโดย : ทัศวีร์ เจริญบุรีรัตน์
ช่างภาพ : Final Pixel Studio


อ่าน “Story Teller : เริ่มวันนี้ ในวันที่คุณอายุน้อยที่สุดคลิก

views