ความสัมพันธ์ระหว่างคนและธรรมชาติกับ PONYO


 

崖の上のポニョ หรือ Ponyo (2008) เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นของสตูดิโอจิบลิ สร้างโดย ฮะยะโอะ มิยะซะกิ เป็นเรื่องราวของเด็กชายวัยราวห้าขวบที่มีชื่อว่า โซะสุเกะ อาศัยอยู่ในเมืองริมทะเล วันหนึ่งได้เจอกับ บรุนฮิลด์ (ภายหลังเธอได้ชื่อ โปเนียว มาจากโซะสุเกะ) เขาเข้าใจว่าเธอคือปลาทองจึงเก็บเอามาเลี้ยง ทว่าจับพลัดจับผลูกลายเป็นว่าโปเนียวสามารถแปลงร่างเป็นคนได้ ความสัมพันธ์ของเธอและโซะสุเกะทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆ ตามมาอีกมาก ซึ่งเราแนะนำให้ทุกคนหาโอกาสไปดูกันเพราะแค่ภาพก็น่ารักมากๆ ๆ


 

คิด ไม่ ถึงสิ่งแวดล้อม

เรื่องนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่สังเกตได้ตั้งแต่ต้นเรื่อง ด้วยความที่บ้านของโซะสุเกะนั้นใกล้ทะเลมาก ฉะนั้นจึงเป็นเมืองท่าที่มีเรือเข้าออกอยู่เยอะและเป็นประจำ เราจะเห็นว่าในตอนแรกที่เจอโปเนียวอยู่ในทะเลมืดๆ (ตามความเข้าใจของเรา ก็คิดว่าน่าจะอยู่ในน้ำลึกพอควร) ก็เห็นความสวยงามของโลกใต้ทะเลรวมถึงสิ่งชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำมากมาย แต่เมื่อการดำเนินของเรื่องค่อยๆ พาคนดูเข้าฝั่งที่มีคนอาศัยอยู่มากเท่าไร ก็จะพบความสกปรกก็เพิ่มมากขึ้นตาม ทั้งเศษขยะที่ฝังอยู่ในดินในทราย ทำให้เห็นว่าการใช้ชีวิตของมนุษย์ทำให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม มันทำให้คิดว่า ถ้าเราใช้ชีวิตอยู่ในความรอบคอบ คิดให้มาก และเห็นอกเห็นใจธรรมชาติผู้กำเนิดมากกว่านี้เสียหน่อย ก็น่าจะส่งผลดีต่อทั้งธรรมชาติและตัวเราเอง เพราะถ้าแหล่งน้ำมีความปนเปื้อน ก็เท่ากับว่าแหล่งอาหารของมนุษย์ก็น้อยลงไปด้วย ไม่ต้องพูดถึงทะเลที่ผลิตออกซิเจนให้เรามากกว่าต้นไม้เลยว่าจะแย่อย่างไร เราคิดว่าไม่ต้องให้สาธยายความน่ากลัวก็น่าจะรู้ว่าหากธรรมชาติเสียสมดุลแล้วมันจะส่งผลยังไงต่อพวกเรา

บางทีการแก้ปัญหานั้นไม่ยาก แต่การมองให้เห็นว่ามันมีปัญหาอาจจะยากกว่า


 

ธรรมชาติน่ากลัวไหม?

เราตั้งคำถามว่ามนุษย์ตัวกระจ้อยร่อยมีอำนาจพอที่จะต่อรองกับธรรมชาติหรือควบคุมมันได้หรือเปล่า ซึ่งแท้จริงแล้วสิ่งที่มนุษย์พยายามเอาชนะมาตลอดหลายพันปีก็คือธรรมชาตินี่แหละ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำฝ่าฝืนกฎของธรรมชาติอย่างการตกแต่งพันธุกรรมพืชต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง หากเผชิญหน้าแล้งก็สร้างสารเคมีที่ก่อให้เกิดฝนเทียม ชีวเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อการใช้ชีวิต ซึ่งเราเข้าใจว่ามนุษย์ก็คือสิ่งมีชีวิตไม่ต่างจากสัตว์ ทุกคนล้วนพยายามปรับตัวหรือหาทางเอาตัวรอดอันเป็นธรรมชาติของสัญชาตญาณที่ปฏิเสธการสูญพันธุ์ แต่ทีนี้เมื่อการกระทำของเราทำลายความสมดุลของบ้านหลังใหญ่นี้ แน่นอนว่าธรรมชาติเองก็จะพยายามหาทางปรับสภาพเพื่อให้ตนเองอยู่รอดไม่ต่างจากมนุษย์เช่นเดียวกัน

 

ฉะนั้นหากถามว่าน่ากลัวมั้ย ทั้งเหตุการณ์น้ำท่วม โรคระบาด อุณหภูมิในโลกสูงขึ้น และสารพัดภัยธรรมชาติ ก็ตอบได้โดยไม่ต้องคิดว่าสุดจะน่ากลัว แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่เราทำ ก็น่าจะรู้เลยว่าพี่มนุษย์เองก็น่ากลัวไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน


 

อยู่ด้วยกันได้ ถ้าเราพยายามมากพอ

ถ้าพูดถึงธรรมชาติ คนอาจคิดภาพมันในสเกลใหญ่ไปหน่อยจนอาจมองว่าเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ หรือเป็นเรื่องไกลตัว แต่ลองคิดภาพง่ายๆ เหมือนเวลาเรามีแฟน (แหะๆ ขอลองเปลี่ยนธรรมชาติเป็นคนรักละกัน) ทั้งสองฝ่ายก็ต้องประนีประนอมซึ่งกันและกัน ถ้าเธอไม่ชอบที่เราทำอะไรสักอย่างที่สร้างความลำบาก เราก็ไม่ต้องทำ อะไรที่ทำแล้วมันส่งผลดีต่อทั้งตัวเราเองและตัวคนอื่น ก็สมควรทำเพื่อให้เกิดความสบายใจทั้งสองฝ่าย การร่วมมือกันระหว่างโซะสุเกะและโปเนียว หรือคนอื่นๆ ในเรื่อง ทำให้เราคิดถึงภาพของคนที่จับมือร่วมกับธรรมชาติ มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันโดยใช้ความประนีประนอมและความพยายามเป็นภาษาสื่อกลาง ถ้าไปซ้ายสุดไม่ดี ขวาสุดก็เลวร้าย ลองพยายามมาอยู่ตรงกลางเสียบ้างก็คงไม่เสียหาย

สำหรับบางคนก็ต้องเลิกแยกแยะระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์เสียก่อน เพราะเราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาตินั่นแหละ

 

views