KLEE BHO กับดนตรี วิถีชีวิต ธรรมชาติ เผ่าพันธุ์ และการเดินทาง
“ข้าหวังว่าสักวัน… ท่านจะได้พบบางอย่างที่ควรค่าแก่การผูกพัน หวังว่าท่านจะได้พบบางอย่างที่ทำให้ท่านไม่คิดอยากหนีหายไปอีก” ในขณะที่เรากำลังไล่อ่านประโยคเหล่านี้ในหนังสือเล่มหนึ่ง บทเพลงเพลงหนึ่งก็ถูกบรรเลงขึ้นได้อย่างเหมาะเจาะ บทเพลงที่ทำให้ภาพของป่าเขียวขจี สายลม และภูเขาผุดขึ้นมาในจินตนาการของเรา
“ภูเขา” บทเพลงโดย KLEE BHO (feat. เขียนไขและวานิช) คือเพลงเพลงนั้นที่ดังขึ้นมาประกอบเรื่องราวบนหน้ากระดาษที่เรากำลังอ่าน และทำให้เราดำดิ่งไปกับความรู้สึกจากการอ่านประโยคดังกล่าวมากยิ่งขึ้น รู้ตัวอีกทีก็ชอบเปิดเพลงของคลีโพฟังเวลาอ่านนิยายฮีลใจสักเล่มในบ่ายวันอาทิตย์สักวันแล้ว

Photo by: Nobuaki Nurakami (@arum0202)
KLEE BHO (คลีโพ) คือวงดนตรีแนว Contemporary Folk, World Music และ Folk Rock ในจังหวัดเชียงใหม่ ที่บทเพลงของพวกเขาล้วนแล้วแต่ถ่ายทอดเรื่องราวของธรรมชาติ วิถีชีวิตเผ่าพันธุ์ปกาเกอะญอ การเดินทาง ชุมชน ครอบครัว ความรัก ตลอดจนความธรรมดาของชาวปกาเกอะญอ กลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นบ้านเกิดของ ‘คลี’ – ณัฐวุฒิ ธุระวร หรือ ‘ซอว์คลีโพ’ ในชื่อภาษาปกาเกอะญอ
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เราเชื่อว่าดนตรีของพวกเขาเปิดโอกาสให้ผู้คนมากมายได้ฟัง ได้สัมผัสกับความรู้สึกที่เรียกว่า ‘ฮีลใจ’ ได้ไม่มากก็ได้ และหนึ่งในนั้นคือคุณนาโอะ โคดามะ ชาวญี่ปุ่นผู้หลงใหลในเมืองไทยที่มีโอกาสได้รู้จักและเกินทางมาใช้เวลาร่วมกับคลีโพบนเขาในจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ.2024 ก่อนที่เธอจะตีพิมพ์ซีนที่บันทึกเรื่องราวช่วงเวลาดังกล่าวไว้ พร้อมกับจัดอีเวนต์เล็ก ๆ ในบรรยากาศแสนอบอุ่นที่โตเกียว ซึ่ง KLEE BHO เองก็มีโอกาสได้เดินทางไปร่วมงานนี้เมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อถ่ายทอดบรรยากาศของธรรมชาติและวิถีชีวิตเผ่าพันธุ์ปกาเกอะญอให้คนญี่ปุ่นได้สัมผัสผ่านดนตรีของเขาด้วยเช่นกัน

Photo by: Nobuaki Nurakami (@arum0202)
และด้วยความที่เราคืออีกคนที่ได้รับแรงบันดาลใจหรือความรู้สึกดี ๆ จากบทเพลงของคลีโพ DACO THAI จึงใช้โอกาสที่เขาได้เดินทางไปญี่ปุ่นในครั้งนี้ ชวนคลีโพมาพูดคุยกันถึงประสบการณ์ดังกล่าว รวมถึงแง่มุมต่าง ๆ ในการรังสรรค์บทเพลงขึ้นมา
สำหรับเพลงของ KLEE BHO แล้ว มันไม่ใช่แค่เรื่องของเพลงหรือดนตรี แต่เป็นเรื่องของการสื่อสารด้วย
- ความรู้สึกที่ได้แสดงและถ่ายทอดบทเพลงของเราต่อหน้าคนฟังชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างไรบ้าง มีความแตกต่างไปจากคนฟังชาวไทยไหม
ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่ผมได้ไปโชว์ที่ญี่ปุ่น โดยครั้งแรกและครั้งที่สองเป็นการโชว์ที่ฮอกไกโด ส่วนครั้งนี้เป็นการโชว์ที่โตเกียว ซึ่งบรรยากาศค่อนข้างแตกต่างไปจากการโชว์ที่ไทย ทั้งในส่วนของผู้จัดเองหรือคนดูเอง ทุกคนคือทำการบ้านกันมาดีมาก ๆ รู้สึกได้ว่าพวกเขาตั้งใจมาฟังผลงานเราจริง ๆ ดังนั้น มันเลยทำให้เราได้สื่อสารกับคนฟังได้อย่างเต็มที่ไม่ว่าจะผ่านทางสายตาหรือผ่านทางดนตรี
เพราะสำหรับเพลงของคลีโพแล้ว มันไม่ใช่แค่เรื่องของเพลงหรือดนตรี แต่เป็นเรื่องของการสื่อสารด้วย อีกทั้งภาษาที่เราใช้ก็ไม่ใช้ภาษาที่คนฟังเข้าใจ โชว์ที่ญี่ปุ่นจึงต้องสื่อสารผ่านบทเพลงควบคู่ไปกับการแปลให้คนฟังเข้าใจในสิ่งที่เราพยายามจะสื่อสารได้มากขึ้นด้วย เพลงแต่ละชุดมีเรื่องราวที่แตกต่างกันไป พอโชว์จบแต่ละชุดก็จะมีการอธิบายและแปลไปด้วยว่ามันเกี่ยวกับอะไร เช่น เสียงและเรื่องราวที่ได้ยินนั้นเกี่ยวกับวิถีชีวิตผู้คนในหมู่บ้านเล็ก ๆ การละเล่นพื้นบ้าน สัตว์คู่บ้านคู่เรือนของชาวปกาเกอะญอ หรือการเดินทางไปพบเจอผู้คน มันเลยทำให้คนฟังเข้าใจมากขึ้นและมีความรู้สึกอินมากขึ้น สถานที่ในวันนั้นจึงกลายเป็นพื้นที่แห่งการสื่อสารที่แท้จริง ผมได้ถ่ายทอดสิ่งที่อยากสื่อสารออกไปได้ 100% รู้สึกว่ามันดีมาก ๆ มีความสุขมากครับ
- ประสบการณ์จากการได้ไปถ่ายทอดบทเพลงตนเองไกลถึงญี่ปุ่นเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ให้บทเรียนหรือทำให้ได้เรียนรู้อะไรบ้าง
ผมว่าคนที่เคยทำงานกับคนญี่ปุ่นจะรู้ว่าพวกเขามีความเป๊ะ ความตั้งใจ มีการจัดการที่ดี ไม่ว่างานนั้นมันจะเล็กแค่ไหน แต่พวกเขาจะจริงจังกับทุกอย่าง เลยมองว่าทุกครั้งที่ได้ไปโชว์ที่ญี่ปุ่นนั้นเป็นประสบการณ์ที่ดีที่เราสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตหรือกับการทำงานของเราได้ด้วย
และสิ่งหนึ่งที่ผมประทับใจเสมอกับทุก ๆ โชว์ที่ญี่ปุ่น คือทุกครั้งที่เราจะเริ่มโชว์ ทุกคนจะพร้อมและตั้งใจฟังเราในทันที โดยที่ไม่ต้องมีใครบอกให้พวกเขาหยุดคุยหรือเงียบเสียงลงเพื่อตั้งใจฟังเราเลย เหมือนมันเป็นธรรมชาติ เป็นวัฒนธรรมของพวกเขาเลย เพราะปกติผมจะเรียกดนตรีของวงเราว่าเป็น “ดนตรีขี้อาย” เพราะเสียงเครื่องดนตรีจะค่อนข้างเบา บางงานเลยจะมีบอกคนฟังบ้างว่าอาจจะต้องตั้งใจฟังหน่อยนะ แต่ที่ญี่ปุ่นคือไม่ต้องพูดเลย ทุกคนเงียบพร้อมตั้งใจฟังดนตรีที่เราเล่นมาก ๆ

Photo by: Nobuaki Nurakami (@arum0202)
- ตอนที่มีโอกาสได้ใช้เวลากับคุณนาโอะ โคดามะ ชาวญี่ปุ่นที่เดินทางมาใช้ชีวิตที่เชียงใหม่ ประสบการณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ได้มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม วิถีชีวิต หรือมุมมองความคิดอะไรที่น่าสนใจ ที่พอจะเล่าให้เราฟังได้ไหม
สำหรับคุณนาโอะ (Nao Kodama) เธอเป็นนักร้อง นักแต่งเพลง และเคยทำวงดนตรีสไตล์เรกเก้ที่ก็ถือว่าค่อนข้างมีชื่อเสียง เคยขึ้นเล่นที่เทศกาลดนตรีต่าง ๆ ก่อนจะออกมาทำโปรเจ็กต์ตัวเอง เธออยากลองทำอะไรที่ลึกซึ้งมากขึ้นอย่างพวกเรื่องราววิถีชีวิตผู้คน ซึ่งพวกเราเคยมีโอกาสได้เจอกันที่ฮอกไกโดมาก่อน ตอนนั้นที่ผมไปโชว์ที่ฮอกไกโด เธอก็มาร่วมเล่นดนตรีด้วย รวมทั้งยังมีนักดนตรีชาวไอนุชื่อดังอย่างคุณโอกิ (OKI) มาร่วมเล่นดนตรีด้วยเช่นกัน ครั้งนั้นมันเลยเหมือนทำให้พวกเราได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน
หลังจากนั้น เธอเลยติดต่อมาว่าสนใจอยากมาลองใช้ชีวิตที่หมู่บ้านและอยากลองทำเพลงร่วมกัน สุดท้ายเลยเกิดเป็นโปรเจ็กต์ขึ้นมา โดยที่คุณนาโอก็เดินทางมาพักและใช้ชีวิตที่บ้านที่ผมทำโฮมสเตย์ประมาณหนึ่งสัปดาห์ ทั้งกินข้าวด้วยกัน ไปหาญาติพี่น้องผมด้วยกัน เข้าป่าด้วยกัน แล้วทุกเย็นก็มานั่งจับกีตาร์ พูดคุยกันว่ามันจะเกิดเป็นท่วงทำนอง เป็นบทเพลงอะไรได้บ้าง ซึ่งจริง ๆ
ถามว่าเวลาหนึ่งสัปดาห์มันได้เป็นเพลงเหมือนการเข้าห้องอัดทำเพลงไหม มันก็ไม่ได้เป็นไปในรูปแบบนั้น เพราะพวกเราเองมองว่าอยากจะได้ลองใช้เวลาด้วยกัน อยากไปเห็น ไปสัมผัส ไปรู้สึกกับสิ่งต่าง ๆ ด้วยกันก่อน แล้วถ้ามันเกิดเป็นไอเดีย เป็นเรื่องราว เป็นทำนอง ก็ค่อยนำสิ่งเหล่านั้นไปพัฒนาต่อน่าจะดีกว่า เพราะตัวผมเองก็อยากให้คุณนาโอได้สัมผัสกับวัฒนธรรมและตัวตนของผม ตัวตนของชาวปกาเกอะญอแบบจริง ๆ ซึ่งพอคุณนาโอะมาไทย ผมเองก็ได้จัดงานเล็ก ๆ ขึ้นมาเพื่อร่วมเล่นดนตรีด้วยกันกับเธอ รวมทั้งพ่อผมเองที่เป็นนักดนตรีเหมือนกันก็มาร่วมเล่นดนตรีเผ่าด้วย ทำให้พวกเราได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันอีกครั้ง

Photo by: Nobuaki Nurakami (@arum0202)
เราไม่มีทางรู้ว่าเผ่าพันธุ์ของเรามันจะถูกกลืนหายไปกับวัฒนธรรมกระแสหลักเมื่อไร
- สำหรับดาโกะแล้ว มองว่าบทเพลงของ “คลีโพ” มีความเป็นบทกวีมาก ๆ เป็นบทกวีฮีลใจสำหรับคนฟังหลาย ๆ คน แล้วสำหรับ “คลีโพ” เอง มองบทเพลงที่ตัวเองรังสรรค์ขึ้นมาในรูปแบบไหน และคิดว่าบทเพลงที่รังสรรค์ขึ้นมานั้นได้รับอิทธิพลจากความเป็นชาวปกาเกอะญอมากน้อยแค่ไหน
เพราะตัวผมเองเกิดบนดอย ผมเป็นกะเหรี่ยง เป็นปกาเกอะญอจริง ๆ แบบ 100% แต่เป็นคนดอยที่มีโอกาสได้ลงไปเรียนหนังสือในเมือง ส่วนตัวพ่อผมก็เป็นนักเขียน นักแต่งเพลง นักเคลื่อนไหว และแม่เป็นครูดอย ด้วยพื้นฐานของคนในครอบครัวแล้ว เลยทำให้ผมมีโอกาสได้ฟังเพลงเยอะ และเพราะเราโตมากับภาษาปกาเกอะญอ และโตมากับการที่ผู้คนชอบแต่งเพลงด้วยการเขียนเป็นบทกวี มีความเจ้าบทเจ้ากลอน เวลาที่เขียนเพลงหรือแต่งเพลง ผมเลยรู้สึกว่าถ่ายทอดมันออกมาด้วยภาษาปกาเกอะญอได้ลึกซึ้งกว่า ได้ดีกว่า มีความเป็นบทกวีมากกว่า
ผมเองเลยได้รับอิทธิพลจากความเป็นชาวปกาเกอะญอมาเยอะมาก ๆ แบบที่ช่วงแรก ๆ เวลาจะเขียนเพลงเป็นภาษาไทยยังใช้วิธีคิดเป็นภาษาปกาเกอะญอก่อนแล้วค่อยแปลเป็นภาษาไทยทีหลัง แต่ในขณะเดียวกัน ภาษาไทยก็ถือเป็นภาษาที่สองและเป็นภาษที่จำเป็นต้องใช้ในการทำงานด้วย ตัวผมเองก็จะเข้าถึงคนพื้นราบได้มากกว่า สื่อสารได้มากกว่า ตอนนี้การทำเพลงของผมเลยจะแบ่งเป็น 2 ส่วน

Photo by: Nobuaki Nurakami (@arum0202)
ส่วนแรกคือการพูดถึงเผ่าพันธุ์ เพราะด้วยความที่เผ่าพันธุ์เราไม่ได้มีดินแดนเป็นของตัวเอง อยู่กันแบบกระจัดกระจายตามประเทศต่าง ๆ และพื้นที่ที่มีคนปกาเกอะญออยู่เยอะที่สุดก็เป็นบริเวณลุ่มน้ำสาละวิน เป็นรัฐกะเหรี่ยงที่ปกครองกันเอง เพราะฉะนั้นพวกเขาต้องจับปืนต่อสู้เพื่อเสรีภาพของพวกเขา ไม่ได้มีโอกาสจับเครื่องดนตรีเหมือนกับฝั่งเรา ผมเลยมองว่าเราไม่มีทางรู้ว่าเผ่าพันธุ์ของเรามันจะถูกกลืนหายไปกับวัฒนธรรมกระแสหลักเมื่อไร ดังนั้น ในช่วงเวลาที่ผมยังมีโอกาส ยังทำได้ ยังมีแรงอยู่ เลยอยากสื่อสารและถ่ายทอดเรื่องราวของชนเผ่าปกาเกอะญอผ่านเครื่องดนตรีเผ่า ให้คนทั่วโลกได้รู้จักพวกเรามากขึ้นผ่านบทเพลงและความไพเราะของท่วงทำนอง
ส่วนที่สองคือส่วนที่เป็นความชื่นชอบ เพราะผมเองก็ชื่นชอบดนตรีเหมือนคนทั่วไป ผมชอบดนตรีโฟล์คร็อค ดีดกีตาร์ชิล ๆ เล่าเรื่องการเดินทาง เรื่องวิถีชีวิต ฯลฯ ผมเลยอยากจะนำเสนอเรื่องราวเหล่านี้ผ่านดนตรีแนวโฟล์คร็อคที่ผมชื่นชอบด้วย
- คิดว่าอะไรคือเสน่ห์ของเครื่องดนตรีอย่าง “เตหน่ากู”
สำหรับผมแล้ว เตหน่ากูเป็นเครื่องดนตรีที่ถือเป็นส่วนประกอบในเรื่องราว คือสมัยก่อน คนจะเน้นบทกวีเป็นตัวละครหลัก แล้วมีเตหน่ากูทำหน้าที่เล่นประกอบตัวบทกวีบทนั้นอีกที ดังนั้น การเล่นเตหน่ากูจะไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อน จะเล่นแค่โด เร มี ซอล ลา ลา ซอล มี เร โด มันเลยเป็นทำนองเดิม ๆ เพียงแต่สิ่งที่เราอยากจะสื่อสารนั้นจะถูกเปลี่ยนไปตามบทกวี
ดังนั้น ถ้าถามว่าเสน่ห์จริง ๆ อยู่ตรงไหน มันคือเรื่องราว ไม่ใช่เครื่องดนตรี แต่ถ้าถามถึงสิ่งที่ถือเป็นเสน่ห์ที่สุดของเตหน่ากู ผมมองว่ามันคือเสียงที่เกิดจากการเล่นด้วย “มือซ้าย” ซึ่งวิธีการดีดด้วยมือซ้ายนั้นในตอนที่ดีดขึ้นลงนั้น จังหวะที่ตวัดขึ้นมันจะต้องมีเสียงตอนสายเตหน่ากูกระทบกับเล็บด้วย เหมือนมือซ้ายทำหน้าที่เป็นตัวคุมจังหวะ ดังนั้นการจะเล่นเตหน่ากูที่สายทำมาจากสายเบรกจักรยานยนต์ให้ได้ไพเราะจริง ๆ นอกจากจะต้องเล่นด้วยสองมือที่ต้องใช้สมาธิสูงแล้ว คือจะต้องใช้มือซ้ายคุมจังหวะได้ดี นอกจากนั้น ยังมีเรื่องของตำแหน่งการวางนิ้วทั้งสองมืออีกด้วย

Photo by: Nobuaki Nurakami (@arum0202)
- ได้ลองผสมผสานการเล่น เตหน่ากู กับเครื่องดนตรีอื่น ๆ มาหลายชิ้น มีเครื่องดนตรีชิ้นไหนที่อยากจะลองนำมาเล่นร่วมกับ เตหน่ากู อีกไหม หรืออยากจะลองใช้ เตหน่ากู เล่นดนตรีแนวไหนดูอีกบ้าง
ผมอยากลองกลับมาเล่นดนตรีแบบที่ใช้เครื่องดนตรีน้อยชิ้นหรือแนวที่สามารถแสดงศักยภาพของความเป็นเตหน่ากูออกมาได้จริง ๆ อย่างล่าสุดผมได้ลองเล่นแบบที่มีเครื่องดนตรีอย่างแคนและเตหน่ากูแค่ 2 ชิ้น แล้วผมรู้สึกว่าเตหน่ากูมันได้ถ่ายทอดและสื่อสารเสียงของมันออกมาได้ชัดเจน
ส่วนสิ่งที่อยากลองทำคือการทำ Sound Design โดยการดีไซน์ซาวด์ดนตรีให้มีการใช้เสียงธรรมชาติด้วย เช่น เสียงบรรยากาศในหมู่บ้าน เสียงไก่ร้อง เสียงตอนกลางวัน-กลางคืน ฯลฯ ซึ่งผมมองว่ามันจะช่วยให้ดนตรีที่ทำเห็นภาพได้ชัดเจน รู้สึกได้มากขึ้น และมีเสน่ห์มากขึ้น
- สำหรับผู้ฟังที่ยังไม่เคยรู้จัก “คลีโพ” มาก่อน อยากให้เริ่มทำความรู้จัก “คลีโพ” จากเพลงไหน เพราะอะไร
ใจจริงผมอยากให้ทุกคนรอติดตามฟังอัลบั้มใหม่ซึ่งตอนนี้กำลังทำอยู่ โดยจะมีทั้งหมด 11 เพลง และเพลงที่อยากจะแนะนำในอัลบั้มใหม่นี้คือเพลงที่มีชื่อว่า “ระบำไม้ไผ่” ที่เป็นเหมือนเพลงที่บ่งบอกถึงตัวตนของผมตอนนี้ด้วย
View this post on Instagram
เป็นบทเพลงที่ได้แรงบันดาลใจจากบทกวีหนึ่งที่บอกว่าไว้ “น้ำเต้าจะลอย ก้อนหินจะจม แต่ต่อจากนี้ก้อนหินจะลอย น้ำเต้าจะจม เสียงไก่ป่าขันเรียก เสียงไก่บ้านขันตอบ” ซึ่งมันสามารถเปรียบเปรยได้กับทุกสถานการณ์เลย ไม่ว่าจะเป็นสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ เช่นในอดีต เผ่าพันธุ์ปกาเกอะญออย่างเราอาจจะถูกมองว่าเป็นคนชายขอบ แต่เมื่อปัจจุบัน มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ผู้คนเข้าถึงข้อมูลมากขึ้น จึงทำให้พวกเขาได้เรียนรู้และเข้าใจในความเป็นจริงมากขึ้น ซึ่งเปรียบเสมือนไก่ป่าขันเรียกไก่บ้าน และไก่บ้านก็สามารถขันตอบไก่ป่าได้นั่นเอง
โดย Sound Design ที่เราใช้ในเพลงนี้จะเป็นเสียงจากการละเล่นที่คนในชนเผ่าเล่นระบำไม้ไผ่กันบนดอย นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อเพลง และเป็นเพลงที่ผมอยากให้ทุกคนได้ลองฟังกัน

Photo by: Nobuaki Nurakami (@arum0202)
- ความตั้งใจในอนาคตต่อจากนี้ อยากให้ “คลีโพ” เดินไปในทิศทางไหน หรือตั้งใจไว้ว่าอย่างไร
สำหรับในประเทศไทย ด้วยความที่ดนตรีที่ผมทำเป็นดนตรีเผ่า เลยอาจจะไม่ได้เข้าถึงกลุ่มคนฟังในวงกว้าง กลุ่มคนฟังเลยอาจจะเป็นกลุ่มเล็ก ๆ หรือแม้แต่เวลาที่เราพยายามนำเสนอกับภาครัฐหรือหน่วยงานต่าง ๆ ดนตรีของเราก็จะถูกมองเป็นดนตรีสำหรับใช้ในงานวิชาการ งานแสดงเกี่ยวกับชนเผ่า เป็น “ดนตรีน่าสงสาร” ที่ไม่ได้ถูกมองเป็นแนวดนตรีอีกแนวหนึ่ง
แต่ในต่างประเทศ ผมรู้สึกว่าพวกเขาเข้าใจ ให้ความสนใจดนตรีแนวนี้ ไอเดียการนำเสนอแบบนี้กันเยอะ ความตั้งใจของผมเลยอยากให้ดนตรีที่ทำไปถึงคนเหล่านั้นได้ง่ายขึ้นและไปถึงได้มากขึ้น และในขณะเดียวกันก็หวังว่ากลุ่มคนฟังคนไทยจะค่อย ๆ เติบโตไปด้วยกันพร้อมกับเพลง พร้อมกับวง KLEE BHO ครับ
- สุดท้ายนี้อยากฝากอะไรถึงผู้ฟังทั้งชาวไทยและชาวญี่ปุ่น ทั้งคนที่เป็นแฟนเพลง คนที่เคยฟังเพลงของคลีโพ หรือคนที่ยังไม่เคยฟังเพลงของคลีโพ
ขอฝากอัลบั้มชุดใหม่ที่มีความตั้งใจอยากจะปล่อยออกมาให้ฟังกันภายในปีนี้ด้วยครับ ผมตั้งใจทำอัลบั้มนี้มาก ๆ และใช้เวลาทำ ใช้เวลาในการเก็บ Sound Design มานานกว่า 3 ปี เพื่อให้ได้ซาวด์ที่เรารู้สึกและสัมผัสได้มากที่สุด เพื่อมาถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ให้ทุกคนได้ฟังกันครับ

ติดตามและให้กำลังใจวง KLEE BHO ได้ทาง
Website l Facebook l YouTube
อ่าน “Naoki Shimizu กับการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกของเทศกาลดนตรีสุดยิ่งใหญ่อย่าง SUMMER SONIC” คลิก



