เมื่อฉันก้าวสู่ชานเมืองโอซาก้า สู่ความเวิ้งว้างที่เงียบสงบ ใกล้สถานี Shichido

เชื่อว่าเราทุกคนต่างมีสถานที่ที่เคยไปเยือนมาแล้ว และอยากจะกลับไปที่แห่งนั้นอีก เราเป็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น และโอซาก้าก็เป็นหนึ่งในเมืองที่เราเดินทางกลับไปแวะเวียนหลายครั้งด้วยเหตุผลต่างๆ นานา
และเมื่อถึงคราวต้องกลับไปเยือนโอซาก้าอีกครั้ง คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือ จะพักที่ไหนดี? เราตั้งโจทย์ให้กับตัวเองว่า ที่พักนั้นจะต้องเป็นสไตล์ Hostel แหล่งรวมเหล่าแบ็คแพ็คเกอร์ตามแบบที่เราชื่นชอบ แต่ครั้นจะกลับไปพักที่เดิมที่เคยพัก ก็จะน่าเบื่อไปหน่อย เลยลองค้นหาที่พักเปิดใหม่ในโอซาก้าในช่วงนั้น และเราก็ค้นพบ Osaka Guest House Drummer’s Dream ที่พักที่เจ้าของหลงใหลในการตีกลองและเสียงดนตรี ตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟ สถานี Shichido ซึ่งใช้เวลาเดินจากสถานีเพียง 7 นาที โป๊ะเช๊ะ! ลงตัว จองเลย!

Osaka Guest House Drummer’s Dream

Osaka Guest House Drummer’s Dream

เราพักในตัวเมืองโอซาก้า 2 คืนแรก ก่อนจะย้ายไปพักที่ Osaka Guest House Drummer’s Dream ในอีก 2 คืนหลัง
และเดินทางออกจากที่พักแรก เพื่อไปสถานี Shichido ในช่วงสายๆ…
หลง!! หลงไปหลงมาอยู่บนสถานีนี่แหล่ะจ้า ด้วยความที่การเดินทางไปชานเมือง จะมีประเภทรถไฟหลากหลายประเภท
เรากับเพื่อนก็กระโดดขึ้นแบบไม่ดูตาม้าตาเรือว่าบางขบวนไม่จอดสถานีที่จะไปต่อรถไฟ สุดท้ายแล้วก็เลยเดินขึ้นเดินลงรถไฟเล่นอยู่นานหลายนาที พอมาถึงปลายทางและก้าวออกจากสถานีมา ฝนก็เริ่มลงเม็ดในทันใด ฟิ้ว… เสียงลมเป็นเพียงเสียงเดียวที่ได้ยินในตอนนั้น หันไปทางไหนก็ไม่เจอผู้คน 

เราเดินตามข้อมูลและแผนที่ที่ได้มาจากเว็บไซต์ของที่พัก Go straight อย่างเดียว ดูเหมือนว่าจะง่าย โกสเตร็ท ไปเรื่อยๆ
แต่ตรงไปเรื่อยๆ แล้วมันไปเจอสามแยกไงยู ซึ่ง 3 แยก แต่ละแยกมันห่างกันแค่ 2 ฝ่าเท้าไง (อันนี้ก็เขียนเวอร์ไป) เลยดูไม่ออกว่าทางไหนที่จะเรียกว่าทางตรงต่อจากจุดที่ยืนอยู่ดี ยูจะให้ไอ โกสเตร็ทไปทางไหนต่อล่ะทีนี้ สุดท้ายแล้วก็เดินหลุดวงโคจรไปอ้อมดวงจันทร์ก่อนจะไปถึงที่พัก

แล้วทันทีที่เห็นที่พัก ก็ประทับใจกับสังกะสีขึ้นสนิมและประตูไม้เลื่อนบานเก่าในทันใด (อันนี้พูดจริง) เราค่อยๆ แง้มประตูเข้าไปส่อง แล้วก็พบกับรอยยิ้มของเจ้าของที่พัก โคจิม่าซัง ส่งยิ้มกว้างมาให้
.
.
.
ซะที่ไหน!! เราเจอผู้ชายคนหนึ่งนอนหลับอยู่บนเสื่อทาทามิ พื้นที่ส่วนกลางของบ้าน ไม่กระดุกกระดิก มีเพียงเสียงลมหายใจที่ยืนยันได้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่
“เอาไงดี?” เราหันไปถามเพื่อนผู้ร่วมเดินทางไปด้วยกันในทริปนี้ และเสียงหัวเราะแฮะๆ เป็นคำตอบจากเพื่อน
ด้วยความเกรงใจ ก็เลยไม่กล้าปลุกด้วยวิธีตรงๆ หันไปเห็นกลองคาฮอง (Cajon Drum) วางอยู่พอดี เลยเดินไปเคาะไปตีเล่นซักพักจนผู้ชายคนนั้นตื่นมาด้วยความงัวเงียก่อนจะค่อยๆ ยิ้มกว้างเป็นการต้อนรับแขกผู้มาพัก เอ้อ!! ดี
เรายืนขำกับเพื่อน ก่อนจะถามว่าฉันเช็คอินได้เลยมั้ย แล้วโคจิม่าซัง ผู้ฟื้นจากความงัวเงียเต็มที่แล้ว ก็หันมาตอบ พร้อมชวนคุยกันอย่างสนุกสนาน แถมตีคาฮองโชว์ 1 เพลงอีกด้วย 🙂

Osaka Guest House Drummer’s Dream

เสียงกลองที่โคจิม่าซังบรรเลงในวันนั้น ก็ทำให้วันสีเทาตามสภาพอากาศกลายเป็นวันที่แสนชื่นบานอีกหนึ่งวันในทันที
Osaka Guest House Drummer’s Dream ดัดแปลงมาจากบ้านเก่า ซึ่งเป็นห้องพักรวม 3 ห้อง (ห้องละ 6 คน) แบ่งชาย-หญิง และใช้ห้องน้ำรวมทั้งชายและหญิง คือก็เป็นบ้านหลังหนึ่ง ที่ชั้นบนเป็นห้องพัก ชั้นล่างเป็นห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ และห้องอาบน้ำ หลายคนอาจจะไม่ชอบที่พักสไตล์นี้ แต่ตัดมาที่ภาพเรานั้น… ยืนแปรงฟัน คุยกับเพื่อนร่วมบ้านอย่างสนุกสนาน นี่แหล่ะ! เสน่ห์ของที่พักแบบนี้

Osaka Guest House Drummer’s Dream

และอย่างที่บอกไว้ในตอนต้นว่าที่พักที่เราเลือกนั้นอยู่ในเขตชานเมือง เพราะฉะนั้นบริเวณใกล้ที่พักก็จะเป็นบ้านของคนญี่ปุ่นแทบทั้งหมด ไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่แถวนั้น ไม่ได้มีอะไรที่เป็นจุดเด่นว่า คุณจะต้องมาให้ได้ถ้ามาโอซาก้า แต่นั่นแหล่ะ ในความไม่มีอะไรที่เหมาะแก่การเป็นสถานทีท่องเที่ยวเลย กลับกลายเป็นเสน่ห์ของย่านนี้ เพราะเราได้เข้าไปใกล้ชิดความธรรมดาของญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น

ตลอดเส้นทางจากสถานีรถไฟจนถึงที่พัก จะมีร้านรวงเล็กๆ น่ารักๆ อยู่ตลอดทาง ทั้งร้านขายผักผลไม้ ร้านขนมหวาน ร้านตัดผม ร้านอาหาร หรือบาร์ขนาดเล็ก ร้านที่เปิดขึ้นมาด้วยความชื่นชอบในสิ่งนั้นๆ ของตัวเจ้าของร้าน หรือร้านที่เปิดขึ้นมาเพื่อให้ได้เป็นที่ที่คนในพื้นที่จะมาพบปะสังสรรค์กันได้ ถ้าหากการเดินสวนทางกับคนในบริเวณนั้น แล้วดูเป็นคนต่างชาติหรือนักท่องเที่ยว ก็เดาได้เลยว่าคนเหล่านั้นพักที่เดียวกันหมด นั่นก็คือที่ที่เราพัก

ในวันแรก เรากับเพื่อนตัดสินใจเดินสำรวจบริเวณใกล้ที่พักกันไว้ก่อน ก่อนจะเดินทางไปเที่ยวตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้ และคุยกันว่าพรุ่งนี้ เราต้องกลับมาลองแวะร้านแถวที่พักให้ได้ซัก 2-3 ร้าน

shichido

สองข้างทางระหว่างสถานีรถไฟและที่พัก

ก็ตามที่คุยกันไว้กับเพื่อน วันที่ 2 ที่ต้องเดินผ่านเส้นทางในย่านที่เราพัก เราลังเลในการเลือกร้านอยู่ขณะหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าร้านข้าวแกงกะหรี่ร้านหนึ่งที่หน้าร้านสุดแสนน่ารัก แถมยังสะดุดตรงที่เขียนว่าเป็นแกงกะหรี่ศรีลังกาด้วยเนี่ยแหล่ะ ร้านนี้มีชื่อว่า “みつら” (Mitsura) เราก้าวเข้าไปในร้าน แล้วก็ต้องตกหลุมรักกับการแต่งร้านของร้านนี้ ร้านเป็นร้านเล็กๆ มีโต๊ะประมาณ 2 โต๊ะ และเคาน์เตอร์ยาวที่นั่งได้อีกประมาณ 5 – 6 คน แต่งร้านได้ดูเป็นฮาว๊ายฮาวาย มีคุณป้าหน้าตาใจดีท่านหนึ่งใส่ผ้ากันเปื้อนยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ และลูกค้าที่ดูเป็นเพื่อนสนิทคุณป้าอีกหนึ่งคนอยู่ในร้าน 

สิ่งแรกที่คุณป้าทำหลังจากรู้ว่าเราไม่ใช่คนญี่ปุ่น คือสีหน้าที่ตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด โชคดีว่าลูกชายและลูกสะใภ้คุณป้ากลับเข้ามาที่ร้านพอดี ป้าเลยดูโล่งใจ เราสนทนากับทุกคนในร้านด้วยภาษาญี่ปุ่นงูๆ ปลาๆ ระดับต่ำกว่า N5 และภาษาอังกฤษ ก็ได้ใจความว่า คุณป้าและสามีเคยเดินทางไปศรีลังกา และชอบรสชาติของแกงกะหรี่ของที่นั่น เลยตัดสินใจซื้อกลับมาและเปิดร้านขายข้าวแกงกะหรี่ศรีลังกาซะเลย เราทั้งคู่ตัดสินใจสั่งเซ็ทแกงกะหรี่ไก่ ป้าถามเราว่ากินเผ็ดได้ใช่มั้ยอยู่หลายรอบ ด้วยความกังวลว่าแกงกะหรี่ศรีลังกาจะเผ็ดเกินไปสำหรับผู้หญิงร่างบอบบางอย่างเรา แต่ก็ดูใจชื้น และยิ้มได้กว้าง เมื่อเห็นเราตักคำแรกเข้าปาก แล้วพูดออกมาพร้อมกันว่า อุไม่่่! เรากินข้าวแกงกะหรี่ด้วยความรู้สึกที่เหมือนคนในบ้านทำให้กิน กินไป คุยกับคนในร้านไป ก่อนจะกินจนเกลี้ยงแล้วขอตัวออกมา เพื่อไปท่องเที่ยวตามแผนในวันนั้น  

"みつら" (Mitsura)

“みつら” (Mitsura) ร้านข้าวแกงกะหรี่ศรีลังกา

ในวันที่ฝนพรำ ทาโกยากิร้านนั้นช่วยทำให้อุ่นใจ

หลังจากก้าวออกจากร้าน เราก็มุ่งหน้าสู่ Universal Studios Japan ใช้เวลาสนุกสนานที่นั่นทั้งวัน ก่อนจะเดินทางกลับมาที่พักในช่วงค่ำ และแน่นอนภารกิจแวะร้านแถวที่พักวันนี้ยังไม่เสร็จสิ้น พอออกจากสถานีปุ๊ป เราเลยเดิน 10 ก้าวตรงดิ่งไปที่ร้านทาโกยากิที่อยู่ใกล้ตัวสถานีในทันที เพราะฝนยังคนพรำ และอากาศข้างนอกก็เริ่มเย็นจนทนไม่ไหว ดังนั้นร้านที่ใกล้ที่สุดคือทางเลือกแรก

มองจากหน้าร้าน ดูเป็นร้านที่ไม่มีที่นั่งข้างใน แต่พอเอียงคอเล็กน้อย ก็จะเห็นประตูทางเข้าร้านอยู่ทางซ้ายมือ
ร้านนี้มีชื่อว่า “たこー” (Takoー) เป็นร้านเล็กๆ มีโต๊ะ 3-4 โต๊ะ และเคาน์เตอร์สำหรับ 3-4 คน อีกเช่นเคย และทันทีที่เราเลื่อนประตูเปิด และก้าวเข้าไป ทุกคนในร้านก็พร้อมใจกันหันมามอง ประหนึ่งรอใครกันอยู่ เราและเพื่อนเลือกนั่งที่เคาน์เตอร์ และขอเมนูภาษาอังกฤษจากคุณป้าเจ้าของร้าน แล้วป้าก็จับได้ทันทีว่า 2 ตัวนี้มันไม่ใช่คนญี่ปุ่น
คุณป้าและคุณลุงเจ้าของร้าน รวมทั้งชายอีกคนที่นั่งเคาน์เตอร์กับเรา เริ่มตื่นตระหนก คุณป้าเลยบอกว่าไม่มีเมนูภาษาอังกฤษนะ และพยายามอธิบายเมนูภาษาญี่ปุ่นที่มีอยู่ ความน่ารักคือ ลูกค้าผู้ชายที่นั่งเคาน์เตอร์กับเราก็พยายามช่วยด้วย และพอนึกคำศัพท์ไม่ออก ก็จะหันไปถามคนในร้าน แล้วทุกคนก็จะพยายามคิด และช่วย บางคนก็ใช้โทรศัพท์มือถือค้นหาคำศัพท์ สถานการณ์ตอนนั้นคือเหมือนเล่นเกมใบ้คำกัน สนุกสนานกันมากๆ สุดท้ายเราก็สั่งทาโกยากิ ปลาหมึกทอด และเบียร์สดคนละแก้วมานั่งกิน นั่งดื่ม อย่างสบายใจ
ระหว่างที่กินไป ก็คุยกับคนในร้านไป พอมีลูกค้าคนใหม่เข้ามา คุณป้าก็จะรีบแนะนำและบอกไปว่าเราสองคนมาจากเมืองไทย ประหนึ่งลูกหลานกลับมาเยี่ยมคุณป้า แล้วคุณป้ามีความ proud to present หลานๆ มีคุณลุงคนหนึ่งบอกเคยมาเที่ยวเมืองไทยด้วย แต่จำไม่ได้ว่าไปไหนบ้าง 🙂 
พอกินไปได้ซักพัก คุณป้าก็หยิบเอาถ้วยเล็กๆ ออกมาจากตู้เย็น พร้อมยื่นให้กับเรา 2 คน บอกว่าเป็นจานพิเศษจากทางร้าน ปกติเก็บไว้กินเอง ไม่ได้มีในเมนู ซึ่งถ้วยเล็กๆ นั้นมีบางอย่างที่ดูเหมือนกับสาหร่ายสดและมีน้ำขลุกขลิกอยู่ พยายามคุยกันอยู่นานว่ามันคืออะไร แต่ถึงจะไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน เราสองคนก็กินเข้าไปจนหมดอย่างไม่เกรงกลัวว่าป้าจะหลอกวางยาแต่อย่างใด 
พอกินเสร็จ และได้เวลาอันสมควรแก่การกลับที่พักแล้ว เรากับเพื่อนก็ควักตังออกมาเตรียมจ่าย แล้วคุณป้ากับคุณลุงก็พูดออกมาทันทีว่า ไม่ต้องๆๆ มื้อนี้ฟรี (น้ำตาไหล ทำไมไม่บอกหนูให้เร็วกว่านี้ จะได้สั่งเยอะๆ เฮ้ย! ไม่ใช่) เราสองคนขอบคุณคุณป้าและคุณลุง รวมทั้งคนในร้าน ก่อนจะกล่าวอำลาเพราะเป็นคืนสุดท้ายก่อนเดินทางกลับไทย ถือเป็นอีกมื้อในญี่ปุ่นที่แสนอบอุ่น ประทับใจและจดจำมาได้จนถึงทุกวันนี้ เป็นการปิดท้ายทริปครั้งนั้นที่ดีต่อจิตใจมากๆ และเป็นอะไรที่เกินความคาดหวังสุดๆ กับย่านย่านนี้ สถานี Shichido

 "たこー" (Takoー)

ร้าน “たこー” (Takoー) ร้านธรรมดาๆ ที่ไม่ธรรมดาต่อความอบอุ่นในใจ 🙂

แผนที่ Osaka Guest House Drummer’s Dream และบริเวณใกล้สถานี 

เรื่องและภาพ: ทัศวีร์ เจริญบุรีรัตน์

views