ออกไปกอดป่าเขาที่ศาลเจ้าคาวากุจิอะสะมะ (Kawaguchi Asama Shrine)
“คาวากุจิโกะ” (ทะเลสาบ Kawaguchi) ถ้าพูดถึงชื่อนี้ ภาพทะเลสาบที่มีภูเขาไฟฟูจิอยู่เบื้องหลัง น่าจะเป็นภาพแรกที่ผุดขึ้นมาในความคิดของใครหลายคน และแน่นอนว่าเป็นจุดหลักที่เหล่านักท่องเที่ยวจะต้องเดินทางไปเพื่อแวะถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
หลายคนเมื่อเดินทางไปถึง นอกจากจุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิที่อยู่ติดกับศูนย์จำหน่ายของฝากแล้ว ก็มักจะแวะไปจุดท่องเที่ยวใกล้เคียงอย่าง พิพิธภัณฑ์เครื่องดนตรี หรือ กระเช้าลอยฟ้าคาจิคาจิยามะ (Mt. Kachi Kachi Ropeway) ด้วย เป็นต้น
แต่มีน้อยคนนักที่จะเดินทางไปในสถานที่แห่งนี้ สถานที่ที่เราและเพื่อนตัดสินใจเดินไปเรื่อยๆ จากบริเวณริมทะเลสาบ ท่ามกลางอากาศเย็นสบายในช่วงปลายเดือนธันวาคม เพื่อไปทักทายและกอดต้นไม่ยักษ์
“ศาลเจ้าคาวากุจิ อะสะมะ”
เรากับเพื่อนนั่งกางแผนที่ไล่ดูสถานที่ที่น่าสนใจในพื้นที่บริเวณรอบๆ ทะเลสาบคาวากุจิโกะ แล้วก็พบว่าสถานที่เหล่านั้นยังไม่น่าตื่นเต้นพอ เลยหันไปถามเจ้าของเกสต์เฮาส์ที่เราพักอยู่ว่ามีสถานที่แนะนำมั้ย คุณเจ้าของก็หันมายิ้มให้หนึ่งที พร้อมกับตอบว่า “มันไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจหรอกนะ” (อ้าว! ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะคะคุณเจ้าของ)
“แต่คุณลองไปที่ศาลเจ้านี้ดูสิ” คุณเจ้าของเกสต์เฮาส์พูดต่อพร้อมชี้ไปที่ชื่อ ศาลเจ้าคาวากุจิ อะสะมะ บนแผนที่
“ที่นี่ถือเป็นสมบัติส่วนหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบของมรดกโลกทางวัฒนธรรมอย่างภูเขาไฟฟูจิล่ะ”
ได้ฟังคำแนะนำจากคนในพื้นที่เสร็จ ก็พิมพ์ชื่อค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมทันที ได้ความว่า
เมื่อตอนที่ภูเขาไฟฟูจิเกิดการปะทุขึ้นครั้งใหญ่ เมื่อปี ค.ศ. 864 ทำให้เมืองต่างๆ ทางตอนเหนือของภูเขาไฟฟูจิถูกทำลาย และเกิดเป็นทะเลสาบเซโนะอุมิ และจากการไหลของลาวาทำให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อเมือง
หลังจากนั้นในปีต่อมา จักรพรรดิได้ออกคำสั่งให้มีการจัดพิธีเซ่นไหว้เทพเจ้า อะสะมะ โอคะมิ ซึ่งเป็นเทพเจ้าภูเขาไฟฟูจิ และสั่งให้จัดเทศกาลปัดเป่าอัคคีภัยขึ้น แล้วก็ได้มีการสร้างศาลเจ้าขึ้นมาเพื่อใช้เป็นที่สักการะบูชาเทพเจ้าภูเขาไฟฟูจิ จนถึงปัจจุบันนี้ศาลเจ้าแห่งนี้ก็มีอายุมากกว่า 1,000 ปี เทพเจ้าที่สถิตอยู่ในศาลเจ้านี้คือ เทพเจ้าอะสะมะ โนะ โอคะมิ และเนื่องจากศาลเจ้าแห่งนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน จึงมีมรดกทางวัฒนธรรมเก็บไว้มากมาย รวมถึงมีต้นไม้ขนาดใหญ่ตั้งเรียงรายอยู่ภายในป่าของเขตศาลเจ้าด้วย
อ่านจบปุ๊ป พวกเราหันมามองหน้ากันแล้วก็พยักหน้าเพื่อตกลงกันว่าจะไปที่นี่โดยไม่มีใครเปล่งเสียง
ลงจากรถบัสที่วิ่งรอบทะเลสาบ ตรงป้ายพิพิธภัณฑ์เครื่องดนตรี แล้วก็ต้องเดินย้อนขึ้นเขาไปทางหมู่บ้านตามถนนเส้นหลัก โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 15 นาที ก็จะมายืนอยู่หน้าเสาโทริอิสีแดงใหญ่ ที่ฉากหลังเป็นต้นไม้ยักษ์ยืนเรียงต้นต้อนรับเราอยู่
สิ่งแรกที่พวกเราทำคือยืนแหงนหน้าขึ้นจนสุดเพื่อมองต้นไม้ยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า แล้วพวกเราก็เดินเข้าไปกอดทักทายในทันที ศาลเจ้าแห่งนี้เงียบสงบเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ยักษ์มากมาย ทำให้บรรยากาศนั้นร่มรื่นมากๆ ประกอบกับไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว จึงทำให้เงียบสงบ เหมาะแก่การนั่งซึมซับบรรยากาศธรรมชาติรอบตัวอย่างสบายๆ
หลังจากนั่งซึบซับบรรยากาศได้ซักพัก เราก็เดินขึ้นเขาต่อไปอีกเล็กน้อยตามทางเดินธรรมชาติที่น่าจะมีแต่คนในพื้นที่ที่ใช้เดินทาง ระหว่างทาง พวกเราเดินสวนกับคุณปู่และคุณย่าผู้น่ารักที่มาเดินออกกำลังกายกัน ตอนที่หันไปแลกรอยยิ้มกับคุณปู่คุณย่า ท่านก็ชี้ขึ้นไปที่จุดจุดหนึ่ง พร้อมพยายามสื่อสารบอกเราว่า ตรงนั้นมองเห็นภูเขาไฟฟูจิด้วยนะ
จะรอช้าอยู่ไย รีบเดินตามทางที่คุณปู่คุณย่าชี้ขึ้นไปในทันที เดินขึ้นเขาเล็กน้อยแล้วเดินไต่ข้ามขอนไม้ใหญ่ที่ล้มพาดทางสูงชันเพื่อไปอีกฟาก แล้วก็จะพบกับวิวภูเขาไฟฟูจิแสนสวย ที่แอบเขินอายหลบอยู่หลังเพื่อนๆ สวยในแบบที่นักท่องเที่ยวอย่างเราคงจะไม่ค่อยได้เห็นเท่าไหร่นัก มองไปข้างหน้าจะเป็นภูเขาไฟฟูจิที่ตั้งตระหง่านอยู่ มองลงด้านล่างจะเป็นถนนที่ตัดลอดอุโมงก์ผ่านใต้ภูเขาที่เรากำลังยืนอยู่นี้ และพอมองไปด้านหลังก็เป็นผืนป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี
เราใช้เวลาอยู่ที่นี่กันซักพัก มองสิ่งรอบตัวไปเรื่อยๆ ก่อนจะเดินเข้าไปกอดลาพวกเขา ต้นไม้ยักษ์เหล่านั้น แล้วเดินกลับออกมาพร้อมรอยยิ้มเล็กๆที่เกิดจากการได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ (:
เรื่องและภาพ: ทัศวีร์ เจริญบุรีรัตน์