สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน ใครที่เคยอ่านรีวิวเรื่องท่องเที่ยวต่างประเทศในห้อง Blue Planet เว็บพันทิป ถ้าเห็นชื่อ “NumAromdee” ผู้เขียนคอลัมน์นี้แล้ว รู้สึกคุ้นๆ ไหมครับ?ใช่แล้วครับ ผมคือ “หนุ่มอารมณ์ดี” คนเดียวกันกับที่ท่านเคยอ่านผ่านตารีวิวเที่ยวญี่ปุ่นของผมนั่นเอง ผมได้รับคำชวนจากนิตยสารดาโกะให้เข้าร่วมโครงการ “Chiba Guide Rally 2015” ไปเที่ยวจังหวัดชิบะในฐานะตัวแทนสื่อมวลชน ซึ่งดาโกะจัดร่วมกับการท่องเที่ยวจังหวัดชิบะ(Chiba) เป้าหมายหลักคือพาน้องๆ นักศึกษาชาวไทยที่สามารถสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้ 10 คน ที่ผ่านการคัดเลือกของนิตยสารดาโกะ ไปเผยแพร่สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ และเดินทางตามรอยภาพยนตร์เรื่องฟัตจังโตะ รายการทีวีไทย และละครดังของไทยทีวีสีช่อง 3 เรื่อง “รอยรักหักเหลี่ยมตะวัน” กับ “รอยฝันตะวันเดือด” ที่ออกอากาศไปเมื่อปลายปีก่อน ซึ่งทั้งหมดนี้ต่างใช้สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของชิบะเกือบทั้งจังหวัดเป็นสถานที่ถ่ายทำ
สำหรับท่านผู้อ่านที่กำลังสงสัยว่าจังหวัดชิบะคือที่ไหน ในประเทศญี่ปุ่น ผมขออาสานำเที่ยวทริปนี้เองครับ…
พวกเราถึงสนามบินนาริตะตอน 7 โมงเช้า พอก้าวเท้าออกจากประตูเครื่องบินอากาศหนาวระดับ 5 องศาก็วิ่งมาต้อนรับใบหน้าและขนแขน ต้องรีบคว้าเสื้อกันหนาวมาใส่แทบไม่ทัน และที่สนามบินนี่เองที่ทำให้ผมได้พบกับเจ้าหน้าที่ชาวญี่ปุ่น 3 คน คือ คุณอิชิอิ ที่ปรึกษาแผนกส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดชิบะที่พูดไทยได้ชัดจนผมตกใจ คุณมิยาชิตะ หนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลา เจ้าหน้าที่หนุ่มพูดน้อย แต่ภาษาอังกฤษดีมาก และ คุณโกโตะ จากบริษัท Elephant Planning ยืนยิ้มตาหยีรอต้อนรับพวกเราอยู่อย่างเป็นมิตร สมทบด้วย พี่ตู่ และน้องเอ๋ย ล่ามที่จะช่วยให้การสื่อสารกับคนญี่ปุ่นของเราง่ายยิ่งขึ้น
การที่จะต้องไปเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของชิบะให้ครบภายใน 5 วัน นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โปรแกรมของเราจึงอัดแน่นมาก เรียกว่าไม่ใช่การไปทัวร์ปกติ แต่สมกับคำว่า “Guide Rally” เลย เพราะหลังจากแนะนำตัว และออกเดินทางออกจากสนามบินนาริตะได้ไม่นาน รถบัสก็ไปจอดหน้าปากทางเข้าสถานที่เที่ยวแห่งแรกที่อยู่ใกล้สนามบินที่สุดนั่นคือวัดนาริตะ หรือชื่อเต็มว่าวัดนาริตะซังชินโชจิ (Narita-san Shinshoji) ไปไหว้พระเป็นสิริมงคลกันก่อนเลย
บริเวณถนนหน้าวัด ก็เหมือนกับถนนหน้าวัดชื่อดังของญี่ปุ่นทั่วไป อุดมไปด้วยร้านขายขนม อาหาร และของที่ระลึกหน้าตาโบราณ ชวนให้ลังเลโอ้เอ้แวะชิมแวะชมกันตลอดทาง ระยะทางไม่ถึง 200 เมตร แต่เดินกันเกือบครึ่งชั่วโมง ของขึ้นชื่อของนาริตะ เมืองกลางภูเขาไม่ติดทะเล ก็คือถั่วลิสง แถมนำมาชุบแป้งแล้วอบเป็นแผ่นกลมๆ หน้าตาคล้ายกับถั่วทอดแผ่นบ้านเรา ส่วนรสชาติดีไม่เลี่อน ใครไปเที่ยวแถวนั้นแนะนำให้ลองชิมดูครับ
เริ่มต้นถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึกหน้าประตูเข้าวัด แล้วผมก็ ขออนุญาตเปิดตัวแก๊งลูกเป็ด ลูกทัวร์จำเป็นของผมตรงนี้นะครับ เพราะกิจกรรมที่เราจะไปทำในจังหวัดชิบะตลอดทั้ง 5 วันต่อจากนี้ จะมีน้องๆ นักศึกษาเหล่านี้เป็นพระเอกนางเอกครับ
ไล่จากแถวยืนจากซ้ายไปขวา น้องเบน น้องตาล น้องทราย น้องเบน(ชาย) น้องท็อป น้องไอซ์ ส่วนแถวนั่ง น้องยุ้ย น้องพลอย น้องจิน และ น้องลูกเกด
ส่วนน้องหนุ่มเป็นคนถ่ายรูปครับ (ฮา…)
วัดนาริตะ เป็นวัดพุทธมหายาน นิกายชินกอน (Shingon) หรือ วัชรยาน สร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 1483 นิกายนี้สอนให้บรรลุธรรมด้วยการสวดมนต์อ้อนวอน และยังนับถือ “เมียวโอ” หรือ ธรรมบาล เทพผู้คุ้มครองพระพุทธศาสนา ตามคติแบบอินเดียด้วย ซึ่งวัดนี้สร้างเพื่อสักการะ ฟุโอเมียวโอ ซึ่งเป็นผู้นำของเมียวโอสูงสุดทั้ง 5 ของญี่ปุ่น ใครที่เคยอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นแนวนักบวชปราบผี เช่น คุจากุ เทพฤทธิ์พิชิตมาร จะคุ้นเคยกับเมียวโอนี้ ยิ่งถ้าไปได้วัดนี้ด้วย อาจอินได้ง่ายๆ และช่วงที่ผมไปนั้นยังเต็มไปด้วยคลื่นมหาชนที่ต่างแห่แหนมาไหว้พระขอพรรับปีใหม่กันอย่างหนาแน่น ขนาดว่าเลยปีใหม่มาเกือบ 20 วันแล้วนะเนี่ย ใครที่มีโอกาส หรือมีเวลาว่างก่อนขึ้นเครื่องบินกลับไทย ขอแนะนำให้มาแวะวัดนี้ เพราะตั้งอยู่ใกล้สนามบิน เดินทางง่าย นั่งรถไฟจากสนามบินนาริตะแค่ประมาณ 10 นาทีเท่านั้น
พอออกจากวัด รถบัสก็พาพวกเรามุ่งลงทางใต้ ผมหลับไปได้ 1 ตื่น ประมาณชั่วโมงครึ่ง ก็มาถึงเมืองฟุทสึ ที่ที่เราจะแวะชม Mother Farm และรับประทานอาหารกลางวัน ที่นี่วิวดีมากถึงมากที่สุด ด้านหลังเป็นเนินเขา ด้านหน้าเป็นอ่าวโตเกียว ซึ่งถ้าวันไหนอากาศดีจะสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ชัดแจ๋ว และสำหรับที่มาเธอร์ฟาร์มมีชื่อเสียงเรื่องทุ่งดอกไม้บนเชิงเขา ไม่ต้องไปถึงฮอกไกโดก็จะได้ชมทั้ง ทุ่งดอกคอสมอส ไฮเดรนเยีย ซัลเวีย ดอกบ๊วย ที่จะมีให้ดูตั้งแต่ช่วงกลาง ก.พ. ไปจนถึง พ.ย. แต่พวกเราไปกันเดือน ม.ค. เป็นอันว่าอดชม
เจ้าหน้าที่ของฟาร์มจัดเนื้อ-หมูย่างเจงกิสข่านมาให้ทานเป็นอาหารกลางวัน ด้วยความหิว ผมและน้องๆ ต่างก้มหน้าก้มตาคีบเนื้อลงย่างกินกับข้าวอย่างเมามัน ซึ่งเวลากินก็จะต้องนำทั้งผักทั้งเนื้อที่สไลด์บางเฉียบใส่ลงไปพร้อมกันในครั้งเดียว พอทุกอย่างระอุได้ที่ เสียงฉู่ฉ่าเริ่มมา น้ำมันจากเนื้อเริ่มกระเด็น ก็เอาตะเกียบกวนทุกอย่างให้สุกทั่วกันแล้วก็คีบจิ้มน้ำจิ้มเข้าปาก พุ้ยข้าวตามไป…โออิชิ
จากนั้นก็ออกไปเดินย่อยอาการรอบฟาร์ม ที่นี่ไม่ได้มีแค่สัตว์เลี้ยง กับทุ่งดอกไม้ แต่ยังมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะคนที่มากันเป็นครอบครัวได้สนุกสนานเพลินเพลินมากมาย ทั้งโชว์ความสามารถของสัตว์เลี้ยงในฟาร์ม พาแม่วัวตัวจริงที่มาให้เด็กๆ ลองรีดนม มีสวนสนุกเล็กๆ กลางแจ้งให้เล่น มีลานสเก็ตน้ำแข็ง(เฉพาะหน้าหนาว) มีสวนสตรอเบอรี บลูเบอรี่ และกีวี ให้เก็บไปชิมไป มีกิจกรรมฝึกทำอาหาร ทำงานหัตถกรรมง่ายๆ สำหรับคุณแม่และสาวๆ มีสถานที่ให้กางเต็นท์ หรือจะค้างคืนในที่พักแนวกระท่อมตากอากาศหลังเล็กก็สามารถ ขนาดว่าไปตอนหน้าหนาวที่ไม่ค่อยมีดอกไม้ให้ชม คนญี่ปุ่นก็ยังพาครอบครัวมาเที่ยวฟาร์มกันคึกคัก
ให้ชมฟาร์มกลางฤดูหนาวอย่างเดียวคงจะน่าเบื่อ โกโตะซังจึงแบ่งพวกเราเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งนั่งรถไปเก็บสตรอเบอรี่ในสวนของฟาร์ม อีกกลุ่มอยู่หัดทำไอศกรีม ผมเลือกอยู่หัดทำไอศกรีมครับ แล้วก็ไม่ผิดหวังเลยเพราะได้ความรู้ใหม่ว่าเพียงใช้แค่อุปกรณ์ในครัว อย่างกะละมังใบเล็ก ซ่อมที่ใช้ทานอาหาร ไข่ไก่ นม พวกด้วยครีมสด น้ำแข็ง และเกลือ เราก็สามารถทำซอฟต์ครีมนุ่มๆ กินเองได้ที่บ้าน เป็นกิจกรรมที่ทั้งสนุก ทั้งอร่อย และยิ่งได้กินตอนอากาศหนาวๆ ด้วยแล้วอยากบอกว่าฟินมากเลยล่ะครับ
กิจกรรมในวันแรกของเรายังไม่จบ เรายังคงนั่งรถลงทางทิศใต้ วิ่งบนถนนเลียบริมอ่าวโตเกียวประมาณครึ่งชั่วโมง ไปที่ภูเขาโนโกะงิริ (Nokogiri-yama) เป็นภูเขาหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ริมอ่าว ที่ในสมัยเอโดะเคยใช้เป็นเหมืองหินสำหรบตัดไปสร้างฐานและกำแพงปราสาท และเพิ่งจะมีคำสั่งให้เลิกทำเหมืองไปเมื่อไม่นานมานี้เอง และเพื่ออนุรักษ์พื้นที่วัดนิฮงจิ (Nihon-ji) ที่เป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปแกะสลักขนาดยักษ์ และโบราณสถานทางศาสนาอายุพันกว่าปีที่มีการสร้างอยู่โดยรอบของภูเขา ตอนนี้เลยกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนว Unseen ที่เหมาะสำหรับคนชอบการผจญภัยป่ายปีน และถ่ายรูปทัศนียภาพธรรมชาติแบบ 360 องศาเป็นอย่างยิ่ง ถึงจะต้องค่อยๆ เดินขึ้นไปชม แต่ผมคิดว่าเป็นการเหนื่อยที่คุ้มค่าครับ เพราะความแปลกของภูเขาทั้งลูกที่ถูกตัดตรงจนเรียบเนียนด้วยฝีมือมนุษย์ บากกับความร่มรื่นของสถานที่ และเมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาก็จะเจอวิวที่สวยงามของอ่าวโตเกียวและภูเขาฟูจิ คนที่ชอบไหว้พระ ก็จะได้สักการะและชมความงามของภาพแกะสลักเจ้าแม่กวนอิม (Kwan-non) บนหน้าผา และ รูปสลักพระไดบุตสึนิฮงจิ (Daibutsu of Nihon-ji) องค์ไดบุตสึที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สมแล้วที่ทางชิบะบอกว่า “ห้ามพลาด” และถ้าคุณเป็นคนชอบความโรแมนติค ให้อยู่ที่นี่จนถึงตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกดินครับ จะได้เห็นวิวฟูจิซังริมทะเลยามอาทิตย์อัศดงที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา เสียดายที่ได้ชื่นชมแค่ไม่กี่นาที หน้าหนาวพระอาทิตย์ตกเร็วเหลือเกิน
คืนแรกเราไปพักที่ Iwai Kaigan Minshuku เป็นโรงแรมเล็กๆ ที่ใช้บริเวณบ้านของเจ้าของ สร้างเป็นอาคารที่พักขนาด 2 ชั้นสำหรับแขก เป็นโรงเตี๊ยม(มินซุกุ)สไตล์ญี่ปุ่นแท้ ที่ในห้องพักไม่มีห้องน้ำ ต้องใช้ห้องน้ำและห้องอาบน้ำรวมแยกชายหญิง ทานข้าวในห้องรวมแบบนั่งเสื้อทาทามิ รอบที่พักเป็นหมู่บ้านชาวประมงเงียบถึงเงียบที่สุดเหมาะแก่การแช่น้ำร้อน กินข้าวแล้วพักผ่อนหลังจากที่เดินเที่ยวจนล้ามาทั้งวัน และเหมาะกับคนญี่ปุ่น โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนที่มาพักช่วงปิดเทอมหรือไปเข้าค่ายฤดูร้อนมากกว่า เพราะผมเห็นตรงฝาผนังห้องรับประทานอาหาร มีรูปหมู่ของเด็กนักเรียนที่มาพักติดอยู่เต็มไปหมด
เช้าวันที่ 2 ของทริปนี้ เราจะขึ้นเขาไปชมชุมชนนาขั้นบันได แล้วลงมาเก็บสตอเบอรี่ เที่ยงถึงบ่ายก็จะไปซีเวิล์ด บ่ายแก่ๆ ไปล่องเรือดูปลาไท และจบวันด้วยการเดินชมวัด ที่ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละคร Rising Sun โอ้…เห็นโปรแกรมแล้วชีพจรแทบลงไปกองที่ตาตุ่ม
รถบัสพาเราวิ่งข้ามจังหวัด จากฝั่งตะวันตกริมอ่าวโตเกียว วิ่งไต่เทือกเขาข้ามฟากมาทางฝั่งตะวันออก เข้าเขตเมืองคาโมงะวะ (Kamogawa) หลังจากนั้นรถก็มาจอดหน้าบ้านชาวนาหลังย่อมบนเนินเขาลูกหนึ่ง มองออกไปหน้าบ้าน เห็นแปลงนาขั้นบันไดทอดยาวไปตลอดหุบเขา ถ้ามาที่นี่เดือน ก.ย. ช่วงเก็บเกี่ยว น่าจะเห็นทุ่งข้าวสีทองเหลืองอร่าม ตัดกับสันเขาสีเขียวขจี แต่เมื่อมาเดือนนี้ก็ชื่นชมได้แค่ตอข้าวสีน้ำตาล และเซลฟี่กับหุ่นไล่กาญี่ปุ่น
แต่ที่นี่ไม่ใช่แค่บ้านชาวนาธรรมดา เพราะคนในบ้านนี้เป็นกลุ่มชาวนาที่ร่วมมือกับองค์การไม่แสวงหาผลกำไร (Non-profit organization, NPO) ตั้งเป็นสมาคมอนุรักษ์การทำนาและเกษตรวิธีธรรมชาติที่ชื่อว่า โอยามะ เซนไมดะ (Oyama Senmaida) ไปขอเช่าพื้นที่อนุรักษ์จากเทศบาลเมืองคาโมงะวะ แล้วเปิดให้ใครก็ได้ที่สนใจการทำนาขั้นบันไดหรือการเกษตรเชิงอนุรักษ์ สมัครเป็นสมาชิก แล้วแบ่งเช่าพื้นที่ ทำนา ปลูกถั่วเหลือง หรือทำโรงงานผลิตสาเก ได้ผลผลิตแล้วจะเอาไปกินเองหรือฝากแปรรูปแล้วขายก็ได้ เสียค่าเช่าเป็นรายปี ถ้าเป็นที่นา จ่ายปีละประมาณ 30,000 เยนต่อ 100 ตารางเมตร มีให้เช่าประมาณ 80 แปลง ตอนนี้มีสมาชิกลงทะเบียนทำกิจกรรมกับสมาคมกว่า 500 คนแล้ว
นอกจากจะเป็นที่ทำการของสมาคมอนุรักษ์การทำนา บ้านหลังนี้ยังเป็นโรงเรียนสอนการใช้ชีวิตเกษตรกร เปิดสอนวิชาทำมิโสะ(เต้าเจี้ยวญี่ปุ่น) เต้าหู้ งานหัตถกรรม วิชาเดินป่า หาของป่า และการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงกับธรรมชาติ เรียกว่าคนเมืองคนไหนที่ใฝ่หาชีวิตชนบท แต่ไม่มีที่นาที่ไร่เป็นของตัวเอง และไม่มีญาติพี่น้องเป็นชาวไร่ชาวนา ก็สามารถขอทดลองใช้ชีวิตแบบชาวนากันได้ที่นี่ หากติดอกติดใจอาจตกลงเช่าทำระยะยาวไปเลยก็ได้ รัฐบาลญี่ปุ่นมีนโยบายสนับสนุนเกษตรกรแบบสุดยอดอยู่แล้ว สนใจเข้าไปชมรายละเอียดได้ที่นี่ครับ ชื่อเว็บยาวหน่อยนะ
พวกเรามีเวลากับที่นี่ไม่นานนัก จะให้ลองทำนา หรือปลูกถั่วก็คงเอิกเกริกเกินเหตุ คุณลุงคุณป้าประจำโรงเรียน เลยจัดให้พวกเราหัดทำฟุโตมากิซูชิ หรือซูชิม้วน อาหารพื้นเมืองของจังหวัดชิบะ เป็นมัทสึริซูชิ หรือซูชิที่ใช้ทานในงานเลี้ยงรับรองหรืองานฉลองเก็บเกี่ยว เป็นซูชิม้วนที่หั่นแล้วมองด้านข้างจะเห็นเป็นรูปสวยงาม ไม่ได้ใส่เนื้อสัตว์ มีแต่ข้าวสวย ไข่ม้วน สาหร่ายแผ่น และผัก วันนั้นเราแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งทำรูปดอกบ๊วย อีกกลุ่มทำรูปหอยทาก ตอนทำดูเละๆ เลอะๆ ไม่ค่อยน่ากิน แต่พอม้วนเสร็จ หั่นออกมาดูผลงาน น้องคนที่ยืนข้างผมถึงกับหลุดอุทานว่า เย่!…หอยชั้นน่ารักมาก คุณป้าที่ยืนข้างๆ ไม่รู้ว่าฟังภาษาไทยออกรึเปล่า แต่แกหัวเราะร่วนเลย
ชิมผลงานตัวเองได้แค่คนละนิด เตรียมตัวเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป คุณป้าเลยแบ่งซูชิใส่กล่องโฟมให้เราเอาไปกินในรถ ล่ำลากันแล้วก็รีบขึ้นรถกัน แล้วมุ่งหน้า ไปตามหาของหวานมาล้างปากกันเสียหน่อย ทีมงานจึงพาเราไปแวะเก็บสตอเบอรี่สดๆ จากสวนกันต่อที่ Dragon Farm ฟาร์มชื่อดังที่ทัวร์หลายบริษัทต้องพาไป และถามถึงกันเยอะในพันทิป เพราะเดินทางไปเองได้ไม่ยาก ที่นี่เปิดให้เข้าตามฤดูสตรอเบอรี่ ซึ่งในปีนี้เปิดตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 10 พ.ค. โดยประมาณ ถ้าไปนอกจากฤดูนี้ อาจได้กินผลไม้อย่างอื่นแทน สวนนี้ไม่รับจองทางออนไลน์ เปิดตั้งแต่ 9 โมง เวลาปิดไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าถ้าเจ้าของสวนเห็นสตรอเบอรี่ในสวนร่อยหลอไม่พอให้เก็บ เค้าก็จะปิดสวนทันที จะเปิดอีกทีก็จะต้องรอจนกว่าลูกสตรอเบอรี่โตพอ ใครจะไปที่นี่จึงแนะนำให้เช็คสถานะเวลาเปิดของฟาร์มในเว็บไซด์ หรือใน Facebook ของฟาร์มก่อนจะได้ไม่ไปเสียเที่ยว สำหรับสวนนี้ถึงจะมีพื้นที่ไม่มาก แต่มีผลสตรอเบอรี่ที่ใหญ่มาก แถมยังมีรสชาติหวานฉ่ำ กินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ ดังนั้น 30 นาทีที่เจ้าของสวนให้เวลาพวกเรามาก็เพียงพอแล้วสำหรับน้องบางคน ที่ซัดเข้าไปถึง 50 ลูก!!! (เคี้ยวกันบ้างไหม) อยากรู้ว่าใคร ลองเดาจากรูปนี้ดูกันครับ
จากนั้นรถบัสของเราก็วิ่งมาจอดที่คาโมงาวะซีเวิล์ด ธีมปาร์คที่มีไฮไลท์เป็น โชว์วาฬเพชฌฆาตแสนรู้ โลมาสุดฉลาด แมวน้ำแสนน่ารัก และสิงโตทะเลตัวอ้วนนอนโชว์บั้นท้ายให้พวกเราได้กดชัตเตอร์กันรัวๆ อย่างสนุกสนาน แต่ก่อนที่พวกเราจะเข้าชม เราได้ไปหม่ำบุฟเฟ่ต์ที่ห้องอาหาร Sun Cruise ก่อน ที่นี่มีอาหารให้เลือกหลากหลาย บรรยากาศก็ดี แถมกินไปชมวิวทะเลแปซิฟิคไปได้ด้วย
ดับเบิ้ลอิ่มกันได้ที่แล้ว ก็ได้เวลาดูโชว์กัน โชว์แรกเป็นโชว์อันดับหนึ่งของที่นี่ ซึ่งในญี่ปุ่นมีให้ดูแค่ไม่เกิน 3 ที่ คือโชว์ Orcas ปลาวาฬเพชฌฆาต ที่ชื่อน่ากลัว แต่ตัวน่ารักเหลือเกิน มาพร้อมแสง สี เสียงดนตรีเพราะ จัดเต็ม พร้อมของแถมสำหรับคนนั่งแถวหน้า โดยการที่ครูฝึกจะให้เจ้าวาฬแสนน่ารักโดดทิ้งตัวจนน้ำกระจายทะลักใส่ผู้ชม จนเปียกชุ่มท้าลมหนาวกันไปหลายคนเลย
อีกโชว์ที่ดูชื่อแล้วเหมือนว่าไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ แต่พอเข้าไปนั่งดูแล้ว ต้องแอบอมยิ้มไปด้วยไม่ได้ เพราะเป็นโชว์แมวน้ำน่ารักน่ากอด 4 ตัว ที่ไม่ต้องเล่นท่ายากอะไรมากมาย แค่ออกมาเดินต้วมเตี้ยมไถลไปไถลมา เล่นกับลูกบอล และทักทายคนดูก็น่ารักแล้วนะ ส่วนในคาโมงาวะซีเวิล์ดนั้นยังมีอีกหลายโชว์ ทั้งปลาโลมา นกเพนกวิน สิงโตทะเล และมีตู้ปลายักษ์ให้ดูด้วย แต่ด้วยเวลาจำกัดเราต้องโบกมือลาด้วยอาการแสนเสียดาย รีบไปขึ้นรถบัส มุ่งสู่จุดหมายต่อไปนั่นคือท่าเรือไทโนอุระ เราจะได้นั่งเรือเล่น ออกมหาสมุทรไปชมปลาไท หรือ ปลากระพงแดง ปลาทะเลลึกที่ปกติจะไม่ว่ายอยู่ใกล้ฝั่ง แต่ที่นี่ถ้ามาในหน้าร้อน นั่งเรือออกมาแค่ 15 นาที ก็จะพบฝูงปลาไท ว่ายอยู่เต็มผิวน้ำ เป็นเรื่องสุดอะเมซซิ่งของที่นี่ โชคดีที่เรามา ทันเรือเที่ยวสุดท้ายพอดี แต่ด้วยความที่ไปตอนหน้าหนาว คลื่นลมแรง น้ำเย็นจัด เลยไม่เห็นปลาไทสักตัว แต่ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่เจอปลาไท ผมก็ประทับใจความแข็งแรงของคนสูงอายุชาวญี่ปุ่น ที่นี่ เพราะคุณลุง 3 คนของสมาคมชาวประมงไทโนอุระที่ขับเรือพาพวกเราเที่ยว อายุแต่ละคนแทบจะเป็นคุณปู่ของผมได้ แต่ท่านยังสามารถออกเรือได้เองโดยไม่ง้อคนหนุ่มเลย
หลังจากนั้นเราก็เดินข้ามฟากถนนไปชมวัดทันโจจิ ซึ่งวัดนี้ในมุมของคนญี่ปุ่น เป็นสถานที่เกิดของท่านนิชิเร็ง แต่ถ้าในมุมมองของคนไทย โดยเฉพาะคนที่เคยดูละคร Rising Sun ทางเดินเข้าวัดคือสถานที่ถ่ายทำฉากแต่งงานระหว่าง ริว โอนิซึกะ กับมายูมิ ทาคาฮาชิ นั่นเอง
ที่พักคืนนี้ เป็นเรียวกังโบราณอายุกว่า 100 ปีได้ ชื่อ Ryokan Matsunoya ที่นี่เปิดเป็นโรงแรมมาตั้งแต่สมัยไทโชมี 2 ตึก ด้านหน้าเป็นตึกเก่าดั้งเดิมที่อนุรักษ์ไว้ตั้งแต่สมัยรุ่นคุณทวด พื้นไม้ ประตูกระดาษอัด เฟอร์นิเจอร์โบราณยุค 70 ถูกอกถูกใจคนชอบของเก่าเห็นแล้วมีกรี๊ด แต่ถ้าไปพักที่ตึกใหม่ด้านหลัง จะได้ห้องพักสมัยใหม่ ที่ตกแต่งสไตล์โมเดิร์นเจเปน น้ำอุ่นน้ำร้อนมีครบ พร้อมโถสุขภัณฑ์ระบบอุ่นทิพย์และฉีดน้ำล้างก้นอัตโนมัติ แต่ทีเด็ดของที่นี่ และทำให้บรรดาลูกเป็ดกิ๊วก๊าวกันมาก ก็คืออาหารมื้อค่ำที่จัดเต็มคอร์สแบบอาหารเรียวกังแท้ๆ เลือกกินกันไม่ถูกเพราะมีทั้ง ซาชิมิ เทมปุระ ปลาย่าง ปูอบมายองเนส หมูต้มมิโสะ ไข่หวาน ซุปไข่ และผักดอง แถมยังมีหนุ่มนักศึกษาพาร์ทไทม์หุ่นนักกีฬาหน้าใสกิ๊ง มาเป็นพนักงานเสิร์ฟคอยดูแลพวกเราตลอดมื้ออาหาร ยิ่งทำให้แก๊งลูกเป็ดเบิกบานกับอาหารมื้อนี้มากขึ้นไปอีกหลายขีด
โถ… คุณป้า ทำไมไม่จ้างสาวๆ มาบ้างละครับ
เช้าวันนี้เราจะมีนักศึกษาญี่ปุ่นจำนวน 12 คนที่สนใจและกำลังศึกษาภาษาไทย มาสมทบที่คัทซึอุระ เพื่อจับกลุ่มทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับบรรดานักศึกษาไทย แต่กว่าจะมาถึงก็สายๆ ระหว่างที่รอ โกโตะซังก็พาพวกเราเดินขึ้นเขาใจกลางเมืองไปชมศาลเจ้าโทะมิซะกิกัน แต่ก็ชมวิวเมืองคัทซึอุระจากมุมสูงอยู่ได้ไม่นาน ต้องรีบลง เพราะวันนี้อากาศหนาวมาก พวกเราก็เลยเดินลงมาชมตลาดเช้า “Naga-motomachi” บนถนนหน้าทางขึ้นศาลเจ้า ตลาดนี้จะมีทุกเช้าวันที่ 16 ถึงสิ้นเดือน ส่วนวันที่ 1 – 15 จะย้ายไปจัดที่ “Shimo-motomachi” บนถนนถัดขึ้นไปอีกเส้นหนึ่ง ส่วนของที่ขายในตลาด ส่วนใหญ่เป็นสินค้าพื้นบ้าน อาทิ ผัก ผลไม้ ดอกไม้ ของทะเล อาหารแห้ง คล้ายๆ กับตลาดสดบ้านเรา
หลังจากนั้นก็เดินไปชมตลาดปลาริมท่าเรือ ที่นี่ผมได้เห็นการลำเลียงปลามากุโระตัวเป็นๆ ลงจากเรือ ทำความสะอาด และวางเรียงให้เห็นทีเดียวหลายสิบตัว ประทับใจ แต่หนาวมากครับ พวกเราจึงรีบเดินกลับมาขึ้นรถบัสที่หน้าเรียวกังมัทซึโนยะ จึงได้เจอนักศึกษาญี่ปุ่นทั้ง 12 คน และคุณมายด์ คนไทยที่ทำงานที่ญี่ปุ่นซึ่งจะมาร่วมทำกิจกรรมกับพวกเรานั่งรออยู่แล้ว น้องๆ ทักทายกันระงมไปทั้งรถ ผมนี่หยิบวุ้นแปลภาษามากินแทบไม่ทันเลยครับ และก่อนที่จะเดินทางกันต่อคุณป้าเจ้าของเรียวกัง ก็เดินขึ้นมาร่ำลา พร้อมกับแจก Kairo (ถุงทรายร้อน) ให้พวกเราคนละ 1 ถุง เอาไว้ยัดใส่กระเป๋าแก้หนาว บริการได้ประทับใจจนนาทีสุดท้ายจริงๆ
แล้วรถบัสวิ่งมาถึงสถานีรถไฟโอฮาระ วันนี้เราจะได้นั่งรถไฟท้องถิ่นสายสั้นๆ ออกวิ่งครั้งละไม่เกิน 2 โบกี้ วิ่งแบบหวานเย็นจอดทุกป้าย ระหว่างสถานี Ohara กับสถานี Kazusa-Nakano ความพิเศษของรถไฟขบวนนี้ก็คือ เส้นทางที่รถไฟวิ่งผ่าน จะเป็นท้องทุ่งสลับสวนป่า ที่ในช่วงเดือนมีนาคมจนถึงต้นเมษายน จะเต็มไปด้วยดอกนาโนะฮานะสีเหลืองทอง และต้นซากุระสวยๆ ให้ชมกัน และในเส้นทางบางช่วงสภาพป่าข้างทางรถไฟ จะเหมือนกับเมืองในการ์ตูน Moomin ประธานบริษัทอิซึมิเรลเวย์ จึงไปขอซื้อลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูนมูมินมาประดับไว้บนขบวนรถ และทำเป็นของที่ระลึกขาย เรียกลูกค้าเด็กๆ (และผู้ใหญ่อย่างผมด้วย) ได้เต็มขบวนในทุกฤดูใบไม้ผลิ และ Rising Sun ก็ใช้สถานี Otaki ของรถไฟอิซึมิ เป็นฉากถ่ายละครด้วย
นั่งรถไฟอิซึมิหน้าหนาว ข้างทางยังไม่มีอะไรให้ชม ผมก็เลยเปลี่ยนไปยืนดูการทำงานของคนขับรถไฟอิสึมิแทน ผมชอบรถไฟญี่ปุ่นตรงที่เราสามารถเดินไปดูการทำงานของพนักงานขับรถอย่างใกล้ชิดได้ตลอดเวลา ไม่รู้หรอกว่าเค้าขับรถไฟกันยังไง แต่แค่มองการทำงานของคนขับรถไฟอย่างเดียวก็เพลินแล้ว คนขับรถไฟญี่ปุ่น จะทำงานตามขั้นตอนที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ก่อนเคลื่อนออกจากสถานีก็จะดูป้ายสั่งงาน ก่อนผ่านสัญญาณไฟ หรือทางรถไฟช่วงที่ตัดกับถนน ก็จะทำสัญญาณมือ ทวนคำสั่งเบาความเร็ว ลดเกียร์ ตลอดทุกป้าย ดูแล้วไม่เหมือนการขับรถไฟ แต่เหมือนทหารที่มานั่งร่ายรำหน้าแผนบังคับรถด้วยสัญญาณมือมากกว่า
นั่งรถไฟไปได้ครึ่งทาง พวกเราก็ลงรถที่สถานีโอตากิ แล้วไปต่อรถบัสคันเดิมที่มาจอดรอรับอยู่แล้ว เพื่อเข้าตัวอำเภอเมืองชิบะ เพื่อไปดูสถานที่ๆ ใช้เป็นฉากในการถ่ายทำละคร Rising Sun อีก 3 แห่ง คือ บ้านฮอตตะ ที่เมืองซากุระ สวนสาธารณะนาริตะที่อยู่ด้านหลังวัดนาริตะซัง และเมืองการค้าโบราณริมคลองที่เมืองซาวาระ
สถานที่แรกที่เราจะไป ต้องนั่งรถไฟไปยังเมืองซากุระ เมืองที่การท่องเที่ยวชิบะตั้งฉายาว่าเป็น Samurai Town เพราะอดีตเคยเป็นที่พำนักของท่านเจ้าเมือง และขุนนางญี่ปุ่นหลายคน หนึ่งในนั้นที่ยังคงอนุรักษ์สภาพไว้ได้ค่อนข้างสมบูรณ์คือ บ้านฮอตตะ หรือ Kyu-Hotta-Tei ที่พักของท่านมาซะโทโมะ ออตตะ ไดเมียว (เจ้าเมือง) คนสุดท้ายของญี่ปุ่น ก่อนเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองในสมัยเมจิ
ภายในบ้าน ตกแต่งแนว Minimalist น้อยแต่มาก ตามแบบบ้านของผู้มีอันจะกินชาวญี่ปุ่นโดยทั่วไป สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้สนใจเรื่องสถาปัตยกรรม เทคนิคหรือการออกแบบ และวัสดุชั้นเยี่ยมที่ใช้สร้างบ้านหลังนี้ อาจจะไม่ได้มีอะไรที่น่าดึงดูดใจมากนัก แต่สิ่งที่อยากแนะนำ เพราะสวย และน่าไปเดินเล่นชมธรรมชาติ ก็คือบริเวณสวนหลังบ้าน ซึ่งเป็นสวนญี่ปุ่นขนาดประมาณไม่เกิน 10 ไร่ ไม่เล็กไม่ใหญ่แต่จัดได้สมดุล และสวยงาม โดยเฉพาะถ้ามาชมช่วงซากุระบาน หรือ ช่วงใบไม้ร่วง จะน่าถ่ายรูปมาก ทำให้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมที่นี่ถึงได้ถูกเลือกเป็นสถานที่ในการถ่ายทำละคร ไม่ใช่แค่ Rising Sun แต่มีละครญี่ปุ่นอีกหลายเรื่อง แม้กระทั้งซีรีส์ชุดขบวนการนักสู้กู้โลก (Sentai) ยังมาขอใช้ที่นี่ถ่ายทำด้วยเลย
การเดินทางมาบ้านฮอตตะ สะดวกที่สุดให้นั่งรถไฟ JR ลงที่สถานีซากุระ แล้วนั่ง Taxi ไปจะสะดวกที่สุด หรือถ้าใครชอบออกกำลัง จะติดต่อเช่าจักรยานจาก Tourist Information Center ที่สถานีรถไฟซากุระ แล้วปั่นไปก็ได้ ทางศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมีบริการแผนที่ และแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ให้ด้วย
สถานที่ถัดมาเป็นการเก็บตกจากวันแรก ที่พวกเรามาถึงวัดนาริตะซังแล้วไม่ได้แวะชม เราอ้อมมาที่ด้านหลังวัดเพื่อชมเดินสวนสาธารณะนาริตะ ซึ่งเป็นหนึ่งในสวนสาธารณะที่ใหญ่และสวยที่สุดของญี่ปุ่น แถมยังเปิดให้เข้าชมฟรีตลอด 24 ชั่วโมง ใครที่แวะมาเที่ยววัดนาริตะ ก็สามารถเดินทะลุจากหลังวัดมาที่สวนนี้ได้เลย เป็นสวนที่ต้นไม้เยอะ ร่มรื่น น่าเดินแม้ว่าจะเป็นหน้าหนาวที่ต้นไม้ไม่ค่อยมีใบก็ตาม และเช่นเดียวกับบ้านฮอตตะ สวนนี้จะเหมาะมาก ถ้ามาเที่ยวช่วงซากุระบาน หรือ ช่วงใบไม้แดง ที่สำคัญคือแม้ว่าจะเป็นฤดูซากุระบานหรือช่วงใบไม้แดงแสนสวย ก็จะไม่มีการกั้นเขตเก็บเงินค่าเข้าชมเหมือนหลายๆ สวนในประเทศญี่ปุ่น
ที่สุดท้ายของวันนี้ เรามาจบที่เมืองการค้าโบราณซาวาระ ที่อนุรักษ์ร้านค้าริมคลองอายุร้อยปี ให้อยู่ในสภาพเดิม เมื่อก่อนเปิดขายอะไร ตอนนี้ทางเทศบาลเมืองก็ยังพยายามสนับสนุนให้เปิดขายแบบเดิมอยู่ บางบ้านก็ปรับปรุงเป็นกึ่งพิพิธภัณฑ์ บางบ้านเป็นร้านอาหารที่เปิดกิจการมา 4-5 รุ่น บางบ้านข้างหลังบ้านเป็นโรงงานผลิตสินค้าและเปิดหน้าบ้านเป็นร้านขายของ ที่แน่ ๆ คนที่รักงานสถาปัตยกรรม และหลงใหลชื่นชมบ้านโบราณ ในบรรยากาศที่เงียบสงบ แนะนำว่าต้องมาให้ได้ ที่นี่เป็นเมืองที่เหมือนโดนหยุดเวลาเอาไว้ตั้งแต่เมื่อร้อยปีก่อน มีความโบราณที่เอาไว้อยู่อาศัยได้จริง ไม่ได้สร้างไว้โชว์เพียงเท่านั้น
เมืองซาวาระยังเป็นเมืองที่มีเทศกาล ซาวาระมัตสุริ (Sawara Matsuri) เป็นเทศกาลใหญ่ชื่อดังของญี่ปุ่น ที่จะจัดในเดือนกรกฎาคม และ ตุลาคมของทุกปี และในเทศกาลนี้จะมีการแห่ตุ๊กตานักรบหรือวีรบุรุษในสมัยโบราณที่ตกแต่งอย่างอลังการ สวยงามสมจริง และมีขนาดยักษ์สูงกว่า 4 เมตรไปตามถนนรอบเมือง
ถ้าไม่ได้ไปช่วงเทศกาลแต่อยากชมตุ๊กตายักษ์และอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการแห่ในเทศกาลนี้ สามารถไปชมได้ที่ พิพิธภัณฑ์ดาชิไคคัง (Dashi Kaikan Museum) รายละเอียดดูได้ตามเว็บไซด์ หรือสอบถามได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวประจำเมืองซาวาระ ที่ใช้อาคารของธนาคารเก่ามาดัดแปลงเป็นศูนย์บริการฯ สวยและน่าเข้าไปนั่งพักมาก แถมมีที่นั่งพัก น้ำดื่ม และห้องน้ำไว้คอยบริการสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย
คืนนี้เรากลับมาพักที่โรงแรม Mitsui Garden Chiba โรงแรมระดับ 4 ดาว กลางเมืองจิบะ ที่ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนก็สะดวก เพราะมีสถานีรถไฟลอยฟ้าตั้งอยู่หน้าโรงแรม พร้อมกับห้าง Parco และถนนช้อปปิ้งอีกทั้งเส้นทอดยาวไปจนถึงสถานี JR Chiba แถมใกล้ๆ กันยังมีร้านอิปปุโดราเมง สาขาชิบะ ที่เปิด 24 ชั่วโมงด้วย ไม่ต้องไปยืนต่อคิวที่เซ็นทรัลเอ็มบาสซี่แล้ว
สำหรับวันนี้เป็นวันเที่ยวในตัวเมืองจังหวัดชิบะ พวกเราแวะกันที่สวนสาธารณะ Makuhari Seaside Park (Maihama-en) สวนแบบญี่ปุ่นของเทศบาลเมืองชิบะ ที่มีบริการเซตชาญี่ปุ่นพร้อมขนม ให้นั่งรื่นรมชมวิวจิบชาให้หายเหนื่อยจากการเดินช้อปปิ้งกันมาทั้งวัน ในราคา 500 เยน และยังเป็นอีกหนึ่งสถานที่ในการถ่ายทำละคร และต้องเสียค่าเข้า 100 เยนก่อน
ทีแรกผมนึกว่าสวนนี้ไม่ค่อยมีคนไทยไปเที่ยว แต่พอเข้าไปใช้บริการห้องน้ำ เจอป้ายภาษาไทยบอกวิธีการใช้ห้องน้ำติดอยู่ด้วย ก็น่าจะมีคนไทยหลายคนมาเยี่ยมชมที่นี่ จนเจ้าหน้าที่ต้องมีป้ายภาษาไทยไว้ให้บริการด้วย น่าประทับใจมาก เสียดายนิดเดียว ภาษาที่เขียนในป้ายเจ้าหน้าที่คงใช้ Google Translate แปลให้ อ่านแล้วจั๊กกะจี้จัง
จากนั้นก็เป็นเวลาแห่งการช้อปปิ้ง เพราะทีมงานจังหวัดชิบะได้พาเราไปร้านดองกิโฮเต้ และ ร้านไดโซะที่ขายทุกอย่างในราคา 100 เยน ซึ่งเป็นร้านยอดนิยม ราคาย่อมเยา สำหรับนักท่องเที่ยว ที่หลายคนน่าจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว เหมาะกับการซื้อเป็นของขวัญของฝาก โดยเฉพาะที่ร้านดองกิโฮเต้นั้น หลายสาขาเปิดตลอด 24 ชั่วโมงราวกับเป็นร้านสะดวกซื้อเลย
หลังจากช้อปปิ้งกันอย่างเพลิดเพลิน เราก็มุ่งหน้าไปดิสนีย์แลนด์ สวนสนุกที่หลายคนคิดว่าอยู่ในโตเกียว แต่ที่จริงอยู่ในเขตจังหวัดชิบะ ตรงนี้ผมคงไม่ต้องเล่ามาก เพราะหลายคนเคยไปมาแล้ว แต่คราวนี้สิ่งที่ผมประทับใจกับดิสนีย์แลนด์มาก ก็คือความเต็มใจให้บริการและใจสู้ของพนักงาน เพราะวันนั้นฝ