ชายแปลกหน้าและCapsule Hotel (ตอน 2)
โย้ชชชชช!!! สวัสดีผู้อ่าน DACO ที่น่ารักทุกท่าน หลังจากที่เราได้เล่าประสบการณ์ครั้งแรกกับการเที่ยวคนเดียวและมิตรภาพที่เกิดขึ้นในการเดินทางไปแล้ว ครั้งนี้เราจะขอมาต่อกันที่เรื่องการใช้ชีวิตท่องเที่ยวในต่างแดนแบบตัวคนเดียวซะที
เท้าความไปเมื่อตอนที่เรา เซย์ซาโยนาระ กับหนุ่มญี่ปุ่นใจดีคนนั้นแล้ว เราได้ยืนสูดกลิ่นไอความหนาวเย็นยามค่ำคืนหน้าโรงแรมอยู่ครู่หนึ่ง (จนเส้นเลือดฝอยในโพรงจมูกร้องขอชีวิตว่า “หยุดเถอะ ข้าทนไม่ไหวแล้วเข้าไปในโรงแรมเสียที” ฮา)
เราเข้ามาในโรงแรม B&S Eco-Cube Shinsaibashi สิ่งแรกที่ประทับใจคือ เสียงสวัสดีต้อนรับของโอจิจัง (คุณลุง) ที่ประจำอยู่หน้า Counter เล็กๆในโรงแรมแห่งนี้ ความประทับใจที่สองคือ ความอุ่นของฮีตเตอร์ เพราะข้างนอกหนาวมาก ถ้าจำไม่ผิดประมาณ 3 องศาบวกลบ โอจิจังแนะนำเราเกี่ยวกับโรงแรมด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่นที่ยิ่งทำให้เรา งง และ งงมากขึ้นไปอีกเพราะความง่วง จนเราต้องบอกว่า “เราพูดภาษาญี่ปุ่นได้ พูดภาษาญี่ปุ่นกับเราเถอะ พลีส” ….ในที่สุดก็รู้เรื่อง จบการ check-in ที่นี่เป็นโรงแรมแคปซูล ที่สามารถเข้าพักได้ทั้งชายและหญิง แต่จะแยกชั้นที่พักของชายและหญิงอย่างชัดเจน ที่สำคัญอยู่ย่านธุรกิจ อย่างย่าน Shinsaibashi ที่เต็มไปด้วยคนพลุกพล่านและครึกครื้นตลอดทั้งคืน และสำคัญยิ่งกว่าคือโรงแรมแคปซูลแห่งนี้ “ราคาไม่แพง” ตกคืนละ 2000 เยน (ประมาณ 600 บาทไทย (ถ้าสนใจสามารถเข้าไปดูได้ที่ http://eco-cube.jp/) อ่อ สำคัญนะ ที่โรงแรมนี้จะต้องทำการ check-in / Check-Out ทุกวัน แต่ตอนที่เรา Check-Out แล้วสามารถฝากวางกระเป๋าใบใหญ่ไว้ที่ล็อบบี้ได้ อย่างไรก็ตามเราขอแนะนำว่าถ้ามีของมีค่าให้พกติดตัวไปด้วยทุกครั้งจะปลอดภัยที่สุดหรือสามารถเก็บกระเป๋าไว้ในล็อกเกอร์หยอดเหรียญของโรงแรมได้ครั้งละ 300 เยน (ประมาณ 90 บาทไทย…แพงจัง TT^TT)
หลังจาก Check-in ได้กุญแจล็อกเกอร์เล็กๆ สำหรับเก็บเสื้อผ้าและรองเท้ามาเรียบร้อย ความง่วงได้ถาโถมโจมตีเรามาสุดพลัง แต่ด้วยความพยายาม เราได้พาตัวเองขึ้นลิฟต์ไปยังชั้น 3 (ผู้ชายจะพักที่ชั้น 3-5 ผู้หญิงจะพักที่ชั้น 6)
ตรึ๊งงง!!! ลิฟต์มาถึงชั้น 3 แล้ว เงียบมาก เพราะดึกมาก (เวลาขณะนั้นถ้าจำไม่ผิดประมาณ 5 ทุ่มเกือบๆเที่ยงคืน) แขกส่วนใหญ่ที่มาพักก็สลบไสลกันหมดแล้ว เราเดินลากกระเป๋าอย่างแผ่วเบาไปยังแคปซูลตามหมายเลขกุญแจล็อกเกอร์ที่ได้มา แต๊นนน!!!! ถึงแคปซูลแล้ว แคปซูลมี 2 ชั้น คือชั้นบนกับชั้นล่าง เราได้นอนชั้นล่าง(ชั้นบนว่างไม่มีใครนอน) และนี่คือ ภายแคปซูลที่เราต้องนอนคืนนี้ ไม่เลวทีเดียว ตอนแรกคิดว่ามันต้องเป็นที่แคบๆอึดอัดแน่ๆแต่ ไม่เลย มันโอเค มีโทรทัศน์ มีวิทยุ มีปลั๊กไฟและมันอุ่น (มาดูด้านในแคปซูลกัน ↓)
เราได้มุดเข้าไปปัดๆผ้าห่มให้ดี พอเราโผล่หน้าออกมาจากแคปซูล เป็นช่วงเวลาพอเหมาะพอเจาะที่เราได้พบกับชายหนุ่มเกาหลีหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งนั่งจิ้มโทรศัพท์มือถืออยู่หน้าแคปซูล (ทำไมเราถึงรู้ล่ะ ว่าเขาเป็นคนเกาหลี และหนุ่มคนนี้จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับทริปครั้งนี้ของเราหรือไม่..อิอิ อ่านต่อนะละจะบอก) เขาหันหน้ามาพอดี เราก็เลยพยักหน้าและยิ้มให้เล็กๆ ซึ่งเขาก็ยิ้มๆตอบกลับมาเช่นกัน แล้วเขาก็ลุกเดินออกไปคุยโทรศัพท์ที่ระเบียงด้านนอก
หลังจากที่เราจัดแจงเตรียมจะนอน ทันใดนั้นเองเสียงท้องก็คำรามโอดโอยดังอย่างสุดเสียง “หิวว่ะ ออกไปหาไรกินหน่อยดีกว่า” ไม่รอช้ารีบรูดม่านปิดไฟที่แคปซูลแล้วพุ่งตัวออกไปหาของกิน โชคดีมาก เดินออกมาจาโรงแรมไม่กี่ก้าว ก็เจอร้าน コンビニ ( อ่านว่า “คมบิหนิ” คือ ร้านสะดวกซื้อ เช่น เซเว่นอีเลเว่น ลอว์สัน แฟมิลี่มาร์ท ฯ เป็นต้น) ร้านสะดวกซื้อที่ญี่ปุ่นนั้นเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่สามารถ ล่อ ลวง หลอกให้เราควักเงินในกระเป๋าจ่ายได้อย่างไร้สติ เพราะมีของแปลกๆ แพกเกจสินค้าน่ารัก คาวาอี้ ต่างๆมากมาย อย่างเช่น นม น้ำ ขนม สารพัดรสชาติ (แต่มีเพียงอย่างเดียวที่เราหาได้รู้ไม่ว่า รสชาติของขนมนั้นจะอร่อยหรือไม่ อย่างไร) รู้ตัวอีกทีเราก็ได้ของกินมาหลายอย่างโดยที่ตัวเราเองก็หาได้แจ้งใจในการซื้อของกินครั้งนี้ไม่ 55+
เรากลับมาถึงที่โรงแรมก็รีบขึ้นไปที่ห้องพัก และตรงไปยังแคปซูล มุดๆเข้าไปนั่งกินของที่ซื้อมาและนั่งเล่นโทรศัพท์สักพัก (อ่อ ที่นี่เขามีบริการ Free Wi-fi ด้วยสามารถสอบถามรหัสได้ที่พนักงาน) จากนั้นเราก็เตรียมตัวไปอาบน้ำ และนี่แหละ คือ สิ่งที่ตุ๊มๆต่อมๆหัวใจเต้นอีกอย่าง เพราะตอนจองโรงแรม อ่านรายละเอียดมาแล้วรู้แค่เพียงว่าเป็น “ห้องอาบน้ำรวม” คิดในใจ “ตายห่า อาบน้ำรวมนี่อาบแบบทหารบ้านเราป่าววะ?” เราขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 5 (ถ้าจำไม่ผิด) เจอกับห้องอาบน้ำรวม “อ๋อ…มันเป็นห้องน้ำเป็นห้องๆ” แต่แขกผู้ชายที่มาพักใช้ร่วมกันทุกคน……ทันใดนั้นเองสิ่งที่เราไม่คาดคิดว่าจะเกิดมันก็เกิดขึ้น โชะเด๊ะ มีผู้ชายฝรั่งเดินออกมาจากห้องน้ำโดยที่ไม่ใส่อะไรเลย “โอ้ว มายก้อด!!!” (อุทานแค่ในใจ) เราก็ทำเป็นเฉยๆ เหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น (แต่จำได้ทุกรายละเอียดในสิ่งที่เราเห็น ฮา) ฝรั่งผู้ชายส่วนใหญ่มักไม่อายอะไรเท่าไหร่ต่อหน้าผู้ชายด้วยกันเอง แล้วเขาก็แต่งตัวตามปกติ
เอาล่ะ เราเข้าไปอาบน้ำห้องที่ว่างอยู่ อุณหภูมิวันนั้นที่จำได้คือ 2 องศา ยิ่งดึกยิ่งหนาว กว่าจะทำใจอาบได้ ใช้เวลาอยู่พักหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะมีน้ำอุ่นให้อาบก็ตาม เราอาบน้ำเสร็จก็แต่งตัวในห้องน้ำนั้นเลย เรากลับไปที่แคปซูลของเรา มุดตัวเข้าไปเปิดไฟ และนอนจิ้มโทรศัพท์อยู่แป๊บนึง
“แกร๊ก พรึ่บบ!!!” “อุ้ย ตายห่า!!!” ตกใจ อยู่ดีๆ มีหนุ่มหน้าตี๋เปิดม่านที่แคปซูลเรา ไอ้เราก็ตกใจ ฝั่งอาตี่ก็ตกใจ (ที่เห็นหน้าเรา ฮา) ปรากฏ อาตี๋รีบก้มดูเบอร์แคปซูล…อ้าวตี๋จำผิดว่ะ….ก็ขอโทษขอโพยเรากันไป ดีนะเราไม่ได้นอนโป๊ ไม่งั้นล่ะก็….หึ หึ(ไม่อยากจะคิดเลยทีเดียว)
เวลา ณ ตอนนั้นประมาณตีหนึ่งกว่าแล้ว แหะๆ วันรุ่งขึ้นเราแอบมีนัดกับเพื่อนคนหนึ่งใน Facebook ล่ะ เขาจะพาเราไปเที่ยวเกียวโตด้วย
และแล้วความเหนื่อยล้าจากการเดินทางและเหตุการณ์ต่างๆในคืนนี้บวกกับความง่วงที่ซัดกระหน่ำเข้ามาทำให้ตาเราได้ปิดลงอย่างช้าๆ….คร่อก ZZZZZZZZzz
ความรู้สึกครั้งแรกที่ได้นอนในแคปซูล สำหรับเรา ข้อดี คือ มันนอนได้ สบายดีไม่ได้อึดอัด อย่างที่เราหรือหลายๆคนแอบคิด แต่ข้อเสีย คือ มันไม่มีประตูล็อก เพราะฉะนั้นเวลานอนให้เอาของมีค่าต่างๆไว้ใกล้ตัวหรือติดตัวไว้ตลอดและชายแปลกหน้าในวันนี้ เราได้เจอถึง 3 คน คือ คนแรกหนุ่มเกาหลีหน้าตากรุ้มกริ่มที่พักอยู่แคปซูลใกล้เคียง คนที่ 2 หนุ่มฝรั่งที่เดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพเพิ่งอาบน้ำเสร็จไร้การปกปิด คนที่ 3 หนุ่มตี๋ที่พุ่งเข้ามาในแคปซูลเราเพราะจำเลขแคปซูลผิด…แหม เรานี้รายล้อมไปด้วยหนุ่มๆบ่อยจริงๆ คิก คิก
สุดท้าย ก่อนจาก ขอสอนภาษาญี่ปุ่นสักหน่อย เวลาจะถามว่า “ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆแถวนี้มีมั้ย?” ให้ถามเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า
“すみませんが、コンビニはこの近くにありませんか。”(สุมิมะเซ็งกะ คมบิหนิวะ โคโนะจิกะกุนิ อะริมะเซ็งก๊ะ?) ถ้ามีเขาจะตอบว่า “はい、ある/ありますよ” (ไฮ่ อะหรุ / อะริมัสโย๋) ถ้าไม่มีเขาจะตอบว่า “ないんです/ありません” (ไน่เดส / อะริมะเซ็น) เอาล่ะ ตอนหน้าเราจะไปเที่ยวเกียวโตกัน และเราจะมีอะไรมาเล่าให้ฟังอีก ฝากติตตามกันต่อๆไปโต้ยเน่อเจ้า