สุดสายตา…โอคายาม่า (Okayama) ตอนสุดท้าย
DAY 3
เกาะนาโอชิมะ
เราออกจากโรงแรม ANA Hotel Okayama ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองติดกับสถานีรถไฟโอคายาม่าแต่เช้าตรู่ เพื่อจะไปยังท่าเรือ Uno แล้วลงเรือลำใหญ่ “อาซาฮี” เพื่อต่อไปยังเกาะนาโอจิมะ (Naoshima) เกาะแห่งศิลปะและการศึกษาอีกแห่งที่เกิดจากการร่วมมือกันระหว่างกลุ่มบริษัท Benesse Holdings, Inc. และกลุ่มมูลนิธิ Fukutake Foundation กับโครงการศิลปะ Benesse Art Site Noashima ที่มีแนวคิดที่ต้องการจะช่วยยกระดับชีวิตของชาวเมืองให้ดีขึ้น จากไอเดียแรกเริ่มที่ต้องการจะสร้างสถานที่ที่เด็ก ๆ จากทั่วโลกสามารถมาพบปะกันได้บนเกาะสักแห่งหนึ่ง และเกาะที่ถูกเลือกก็คือเกาะนาโอชิมะ
เมื่อไปถึงยังท่าเรือของเกาะก็ได้พบกับฟักทองสีแดงลายจุดดำ อันเป็นสัญลักษณ์ของการกลับมาถึงบ้าน นี่คือแลนด์มาร์คที่ทุกคนต้องถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก และก่อนที่จะเข้าสู่ Benesse House เราก็ได้พบกับฟักทองสีเหลืองอีกแห่งหนึ่ง ฟักทองทั้ง 2 แห่งนี้ ออกแบบโดย Yayoi Kusama (ศิลปินชื่อดังที่เคยร่วมงานกับหลุยส์วิตตอง) สำหรับฟักทองสีเหลืองตั้งอยู่ที่ชายหาด ครั้งหนึ่งมันเคยถูกคลื่นซัดจนขั้วหลุดไปลอยอยู่ในทะเล แต่ก็มีชาวประมงไปพบและนำกลับมาติดไว้ตามเดิม พวกชาวเกาะต่างก็รักและร่วมกันดูแลฟักทองทั้ง 2 นี้ ประหนึ่งเป็นสมบัติของตัวเองเลยทีเดียว
Benesse House
Benesse House เป็นทั้งโรงแรมและพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ที่เปิดเมื่อปี ค.ศ.1992 ภายใต้แนวคิดที่ต้องการให้สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมอยู่ร่วมกับธรรมชาติ โดยศิลปินญี่ปุ่นและศิลปินจากทั่วโลก ระหว่างทางเดินไปสู่ห้องจัดแสดงงาน มีต้นมอสส์หรือเฟิร์นงอกออกมาจากกำแพงตัวอาคาร นี่ก็เป็นงานศิลปะที่ Benesse ภูมิใจนำเสนอมาก เพราะมันเป็นการยืนยันว่าพวกเราดำรงและสร้างสรรค์งานศิลป์ได้อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติจริง ๆ เสร็จจากทานมื้อเที่ยงที่นี่ เราก็ไปต่อที่ Chichu Art Museum พิพิธภัณฑ์ที่อยู่ใต้พื้นดิน (Chichu แปลว่า ใต้ดิน)
Benesse House และ Chichu Art Museum ออกแบบโดยสถาปนิกในแนวโมเดิร์นเซน Tadao Ando ศิลปินญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงในระดับสากล อันโดะสร้างงานอย่างเคารพในวิถีธรรมชาติและพยายามที่จะรักษาภูมิทัศน์เดิมไว้ให้มากที่สุด อาคารส่วนใหญ่เย็นสบายและมีแสงสว่างเพียงพอโดยแทบจะไม่ต้องใช้ไฟฟ้า
แม้ในส่วนที่อยู่ใต้ดิน
Chichu Art Museum
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานของอันโดะที่ไม่ต้องการสร้างงานที่ไปทำลายทัศนียภาพที่สวยงามบนเนินเขางานศิลป์ที่จัดแสดงอยู่ที่นี่ เป็นผลงานของศิลปิน Impressionist คนสำคัญของโลกอย่างโมเน่ (Claude Monet’s) กับภาพเพ้นท์สีน้ำมันชื่อก้องอย่าง Water Lilies พิพิธภัณฑ์แห่งนี้สร้างส่วนที่จัดแสดงงานของโมเน่ไว้อย่างงดงามอลังการ พื้นห้องปูด้วยหินอ่อนที่ตัดแต่งด้วยมือขนาดเท่าลูกเต๋าวางเรียงรายแต่มีรายละเอียดต่างกัน ขณะเดินชมฉันสัมผัสได้เลยถึงความอ่อนโยนของพื้นผิว นอกจากนี้ ทางพิพิธภัณฑ์ยังสร้างสระบัวของจริง Chichu Garden อยู่ที่ด้านหน้าทางเข้า ซึ่งเป็นสระที่จัดตามแบบที่โมเน่เพ้นท์ไว้
แล้วก็มาถึงไฮไลต์อีกอย่างของที่นี่ กับโครงการบ้านศิลปะที่เป็นความร่วมมือกันระหว่างกลุ่ม Benesse กับชาวเกาะที่อาศัยอยู่ที่นี่ ซึ่งทุกคนต่างก็ช่วยกันสร้างสรรค์ผลงาน ตลอดจนการจัดแสดงงานในบ้านหลังเก่าของพวกเขาเอง พร้อม ๆ กับการให้การดูแลและต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เข้าชมงานในบ้านของตัวเองด้วย
และนี่คือบางส่วนของโครงการบ้านศิลปะ Art House Project ที่ฉันได้ไปเยี่ยมชม
Kadoya 1998
บ้านหลังแรกของโครงการบ้านศิลปะ ตัวบ้านอายุกว่า 200 ปี โปรเจ็คต์ร่วมของศิลปิน Tatsuo Miyajima กับชาวเกาะ Sea of Time ’98 กับตัวเลขดิจิตอลไฟหลากสีที่จัดวางไว้ในอ่างน้ำ มองเห็นตัวเลขดิจิตอลไฟสลับสี เร็วบ้างช้าบ้าง
Minamibera 1999
Backside of the Moon คืองานศิลป์ของ Jame Turrell กับตัวบ้านที่มืดสนิท ใช้มือสัมผัสผนังเดินเลาะตามกันไปเรื่อย ๆ เหมือนคนตาบอด นั่งลงตามลมหายใจ สัมผัสรู้ถึงเสียงระฆังเบา ๆ ค่อย ๆ ปรับสายตารับแสงของตัวเองจนกระทั่งมีภาพปรากฏ
Go’s Shrine 2002
ศาลเจ้าเก่าสมัยเอโดะที่ชาวบ้านกับศิลปินช่างภาพ Hiroshi Sugimoto ร่วมกันปรับซ่อม ไฮไลต์อยู่ตรงบันไดแก้วใสแจ๋วที่ทำจากเลนส์กล้องลงไปยังถ้ำใต้ดินและทะลุออกไปจากถ้ำ ปรากฏภาพของทะเลผ่านช่องแคบในมุมมองแปลกตาในชิ้นงานชื่อ Appropriate Proportion
Ando Museum
พิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กสำหรับการศึกษาสถาปัตยกรรมในแนวโมเดิร์นเซนก่อนที่จะมาเป็น Benesse House & Chichu Museum ของทาดาโอะ อันโดะ ส่วนชั้นใต้ดินของที่นี่ ได้รับแสงสว่างผ่านทางกรวยแก้วใสที่ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่หน้าบ้าน
Ishibashi 2006
บ้านเก่าสมัยเมจิที่มีกลิ่นอายประวัติศาสตร์ของเกาะนาโอชิม่า จัดแสดงภาพน้ำตก “The Fall” และสวน “The Garden of Ku” ของศิลปิน Hiroshi Senju พื้นบ้านเป็นไม้ขัดมันสะท้อนเงาของภาพน้ำตกจากผนัง ให้ความรู้สึกประหนึ่งได้ไปยืนอยู่ตรงหน้าความมหัศจรรย์นั้นจริง ๆ
Gokaisho 2006
บ้านที่ชาวเกาะใช้เป็นสถานที่นัดกันมาเล่นโกะ มี 2 ห้องคู่ที่ภายในเหมือนกันเปี๊ยบ ห้องนึงจัดแสดงงานไม้ซึ่งทำเป็นดอกคาเมเลียในชื่อ Tree of Spring โดย Yoshihiro Suda กลีบดอกบอบบางละเอียดจนไม่น่าเชื่อว่าจะทำจากไม้ อีกห้องเป็นห้องโล่ง ๆ ที่ทำเอาหลายคนงงว่ามันคืออะไร และเราก็จะไม่เฉลยด้วย
Haisha 2006
ร้านหมอฟันเก่าซึ่ง Shinro Ohtake เปลี่ยนใหม่ให้กลายเป็นงานศิลป์ในชื่อ Dreaming Tongue ที่อ้างอิงถึงสัมผัส รส และกลิ่น อันเปรียบได้กับความคิดฝัน มีการจัดแสดงงานศิลปะหลากหลายไว้ภายในตัวคลีนิคเก่าที่ตกแต่งด้วยสังกะสีขึ้นสนิมและของเก่าที่ไม่ใช้แล้ว
Naoshima Bath (I love you)
Yu ในภาษาญี่ปุ่นคือโรงอาบน้ำ ฉะนั้นบ้านศิลป์ I love you หลังนี้ จึงมีความหมายที่พลิกแพลงได้ทั้ง 2 ทาง ศิลปินเจ้าของงาน Shinro Ohtake ใช้วัสดุที่เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นขยะ มาตบแต่งห้องอาบน้ำสาธารณะแห่งนี้ จนกลายเป็นงานศิลป์ที่สวยแปลกตา
DAY 4
Ohara Museum of Art
เช้านี้เราไปที่ Ohara Museum of Art พิพิธภัณฑ์แห่งแรกของเอกชนที่จัดแสดงงานศิลป์ตะวันตกอันหลากหลาย โดยมีที่มาจากตระกูลโอฮาระผู้มั่งคั่งในแถบคุราชิกิ (เมืองเก่าริมคลอง) ที่ต้องการคืนกำไรให้กับสังคมและชุมชน ด้วยการให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนศิลปะที่มีพรสวรรค์ แล้วเด็กคนหนึ่งก็ได้กลายมาเป็นศิลปินชื่อดัง โคจิมา โทราจิโร (Kojima Torajiro) พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ มีภาพเขียนของศิลปินชั้นครูอย่าง Claude Monet, Jean-Francois Millet และอีกมากมาย เสียดายที่ถ่ายภาพในพิพิธภัณฑ์ไม่ได้ แต่มีบรรยากาศรอบเมืองเก่าริมคลองอย่างคุราชิกิมาให้ชมแทน แนะนำว่าควรจะมีเวลาอย่างน้อยหนึ่งวัน
สำหรับเมืองนี้
โรงเรียนสอนทำอุด้งที่เกาะชิโกกุ
เสร็จจากการเที่ยวชมเมืองคุราชิกิ เราจะข้ามฝั่งไปยังเกาะชิโกกุที่จังหวัดคากาว่า ดินแดนที่อุด้งเป็นของขึ้นชื่อและเราจะไปเรียนทำเส้นอุด้งกันที่ Nakano Udon School วิธีทำก็ไม่ยาก เริ่มจากการผสมแป้ง นวด ปั้นเป็นก้อน ใช้เท้าย่ำนวดแป้ง (ห่อพลาสติกไว้) ก่อนนำมาแผ่และตัดเป็นเส้น จากนั้นจึงนำมาต้มและทานเป็นอาหารกลางวันเลย ที่สนุกสุดเห็นจะเป็นตอนนวด เพราะเขาให้ยืนขึ้นย่ำแป้งแล้วเต้นส่ายไปมาตามจังหวะเพลงด้วย โรงเรียนสอนทำอุด้งแห่งนี้มีชื่อเสียงทีเดียว คนดังมากินกันเพียบ อีกทั้งร้านนี้และคุณป้าที่สอนพวกเราทำอุด้งยังเคยปรากฏตัวอยู่ในซีนหนึ่งใน “ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน” ด้วย
วังน้ำวนนารุโตะ
มาถึงโปรแกรมที่น่าตื่นเต้นที่สุดในทริป คือการไปสัมผัสกับ The Naruto Whirlpool หรือวังน้ำวนนารุโตะของจังหวัดโทคุชิม่า อันเกิดขึ้นจากการมาพบกันของกระแสน้ำ 2 กระแส (Seto Inland Sea และ Kii Channel) ด้วยปริมาณน้ำมหาศาลที่ระดับความลึกแตกต่างกันอย่างมาก ทำให้เกิดเป็นวังน้ำวนที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 2-20 เมตร ขึ้นอยู่กับจังหวะน้ำขึ้นน้ำลง
การเดินทางไปกับเรือ ดูจะได้สัมผัสกับกระแสน้ำวนอย่างใกล้ชิดมาก ตอนที่ไปถึงเรือโคลงเคลงมาก แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครมีอาการหวาดกลัวให้เห็น มีแต่โพสต์ท่าถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน หรือไม่ก็อาจจะเพราะตื่นเต้นในความอลังการของธรรมชาติเบื้องหน้า ยืนยันว่าคุ้มค่าที่ได้มาสัมผัสจริง ๆ
ผ่านวังน้ำวนก็ไปต่อยังเขาสูง Mount Washu จากจุดชมวิวตรงนี้ มองเห็น Great Seto Bridge หรือ The Great สะพานที่เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดโอคายาม่าของเกาะฮอนชูกับจังหวัดคากาว่าของเกาะชิโกกุ สะพานแห่งนี้สร้างข้ามผ่านเกาะเล็ก ๆ 5 เกาะในแถบทะเล Seto Inland Sea ใช้เวลาก่อสร้างราว 10 ปี
มีความยาว 13.1 กม.
เรียวกัง
คืนสุดท้ายนี้ เราเข้าพักที่เรียวกัง “Yuba Onsen Hakuun-kaku” ฉันแอบฝันถึงการได้เข้าพักในโรงแรมแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่เรียกว่า “เรียวกัง” มานานแล้ว การได้นอนบนฟูกในห้องที่ปูด้วยเสื่อตาตามิสวมรองเท้าฟาง ย่างปลา ใส่ยูกาตะ แช่ออนเซน รายรอบด้วยบอนไซ รู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งที่กล่าวมานี้ ไม่อาจเทียบได้เลยกับความรู้สึกที่มีต่อโอบาจัง โอจี้จัง โอก้าซัง ฯลฯ แล้วแต่ใครจะเรียกขานพนักงานผู้ให้บริการของที่นี่ ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่การได้รับเอาใจใส่ในช่วงสั้น ๆ แค่หนึ่งคืน คุณลุงคุณป้าเหล่านี้จะทำให้รู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลายเหมือนได้อยู่ท่ามกลางครอบครัวญาติมิตร ทั้งที่สื่อสารกับคนละภาษา แต่กลับสัมผัสได้ถึงหัวใจอุ่น ๆ ของกันและกัน
LAST DAY
วันสุดท้ายของการเดินทาง เราต้องกลับไปขึ้นเครื่องที่สนามบินคันไซ ระหว่างทางเลยมีโอกาสได้แวะไปเยี่ยมชมปราสาท Himeji ที่ตั้งอยู่ครึ่งทางไปโอซาก้าพอดี
ปราสาทฮิเมจิหรือปราสาทสีขาว (คู่กับปราสาทสีดำแห่งโอคายาม่า) ที่เป็นสีขาวเพราะเป็นสีของพาสเตอร์ที่ทาเคลือบไว้เพื่อป้องกันไฟ ตัวปราสาทสร้างด้วยไม้ตามสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าเป็นปราสาทแห่งความแคล้วคลาดจากภัยอันตราย สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มีระเบิดตกลงมาบนหลังคาแต่ระเบิดด้าน ปราสาทแห่งนี้เคยถูกนำประมูลขายทอดตลาดในราคาแค่หนึ่งแสนเยน คนที่ซื้อไปเพียงเพราะอยากจะเลาะเอาหลังคาไปติดไว้ที่บ้านตัวเอง แต่ก็ทำไม่ได้เพราะขนาดที่ใหญ่เกินไป สุดท้ายเลยถูกทิ้งไว้อย่างนั้น จนกระทั่งรัฐบาลและชาวเมืองตกลงว่าสมควรจะอนุรักษ์ไว้ให้เป็นสมบัติของชาติ
ปัจจุบันปราสาทฮิเมจิ จัดเป็นปราสาทที่ยิ่งใหญ่และลือนามที่สุดในคันไซ ทั้งยังเป็นหนึ่งในมรดกโลกขององค์การยูเนสโกน้อยคนนักที่มาถึงโอซาก้าแล้วจะยอมพลาดการมาเยือนปราสาทแห่งนี้
บ้าย บาย โอคายาม่า คราวหน้าชาวดาโกะจะพาไปเที่ยวไหนอีกต้องติดตามกันน
อ่าน “สุดสายตา…โอคายาม่า (Okayama) ตอนแรก” คลิก