สุดสายตา…โอคายาม่า (Okayama)
บ่ายแก่ ๆ ของวันทานาบาตะ (7 ก.ค. 2556) เครื่องบินกำลังค่อย ๆ ร่อนลงสู่อ้อมแขนของสนามบินคันไซ ในจังหวัดโอซาก้า สนามบินลอยน้ำฝีมือมนุษย์ที่ใช้งบประมาณในการก่อสร้างสูงลิ่ว จากสนามบิน ฉันเดินทางต่อด้วยรถบัสเพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองโอคายาม่า (Okayama) ที่เป็นจุดหมายปลายทาง
สำหรับทริปนี้ ฉันข้ามมาเที่ยวจังหวัดโอคายาม่าทางฝั่งที่เชื่อมต่อกับเกาะชิโกกุ ดูเหมือนว่าดินแดนแถบนี้แทบไม่ค่อยจะได้เห็นคนไทยมาเที่ยวเท่าไรนัก และการได้มาสัมผัสมันในครั้งนี้ ทำให้ฉันเกิดความรู้สึกอยากจะเขียนบทกวี และอยากตั้งชื่องานเขียนที่เป็นข้อมูลนำเที่ยวในเมืองอันแสนงดงามและน่าอยู่ที่สุดแห่งหนึ่ง ในญี่ปุ่นนี้ว่า
“สุดสายตา โอคายาม่า”
DAY 1
กว่าจะถึงโอคายาม่าก็เป็นเวลาค่ำคืน เราไปเช็คอินกันที่โรงแรม Okayama International Hotel ที่ตั้งอยู่ในย่านดาวน์ทาวน์ของเมือง ที่นี่นอกจากห้องพักจะสะดวกสบายแล้ว ตอนเช้าเค้ายังเตรียมผลไม้สด ๆ ไว้ให้ผู้มาเยือนได้คั้นดื่มกันเองด้วย ชื่นใจสมกับที่เป็นเช้าแรกของการมาถึงเมืองผลไม้ ทั้งลูกพีชและองุ่น
95% ของผลไม้ในญี่ปุ่นปลูกกันที่นี่ นอกจากนี้ ที่โรงแรมแห่งนี้ยังมีเนินเขาเล็ก ๆ ที่ใช้เป็นจุดให้เดินชมวิวพาโนรามาของเมืองในยามเช้าได้ด้วย
บ้านเมืองที่น่าอยู่
ที่ฉันบอกไปตอนต้นว่าโอคายาม่าเป็นเมืองน่าอยู่นั้นก็ไม่ใช่แค่เขียนให้ดูดี แต่เพราะโอคายาม่าเป็นเมืองที่มีสถิติการย้ายเข้ามาอยู่ของประชากรสูงที่สุดเมืองหนึ่งในญี่ปุ่น ภาพบรรยากาศของเมืองที่ฉันได้มองลอดผ่านกระจกหน้าต่างรถบอกได้เลยว่าเมืองนี้มีสิ่งแวดล้อมที่สวยงามมากจริง ๆ
บรรยากาศของเมืองที่อยู่ติดชายฝั่งทะเล มีแม่น้ำอาซาฮีกาว่าที่แสนสะอาดใสไหลผ่าน ปลาและสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ อาศัยอยู่ในน้ำ ฝูงนกบินว่อนออกหากิน กลุ่มเด็กนักเรียนออกเดินทางทัศนศึกษา ในส่วนของตึกรามบ้านช่อง หากมีพื้นที่ว่างแม้เพียงไม่กี่ตารางวา คนเมืองนี้ก็จะปลูกข้าวบ้าง ผักสดบ้าง หรือไม่ก็ดอกไม้สวย ๆ เห็นแล้วก็รู้สึกสดชื่นสบายตาและสบายใจทุกครั้ง
ใครจะไปคิดเล่าว่าที่มุมตึกนั่นจะมีนาข้าวแปลงเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ เกาะกลางถนนที่เป็นที่ตั้งของสัญญาณไฟกลายเป็นสวนผักย่อม ๆ หรือหน้าตึกใหญ่ที่กำลังก่อสร้าง ก็มีกอไม้ดอกประดับประดา ขนาดผีเสื้อยังบินมาเชยชม ชาวเมืองส่วนใหญ่เลือกใช้รถยนต์คันเล็ก ๆ น่ารัก และใช้จักรยานกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว รู้สึกเลยว่าคนเมืองนี้รักธรรมชาติและบ้านเมืองของตัวเองอย่างแท้จริง และที่ทำให้เมืองนี้เป็นเมืองน่าอยู่อีกอย่าง ก็คือการเป็นเมืองที่ปลอดภัยจากแผ่นดินไหว ไม่เคยมีแผ่นดินไหวใหญ่ ๆ เกิดขึ้นที่นี่เลย
สำหรับการสัญจรในเมือง ก็มีทั้งรถราง รถไฟ และชินคังเซ็น แต่ที่ดูจะสะดุดตากว่าใครเพื่อน เห็นจะเป็นขบวนรถไฟ “นารูโตะ” (วิ่งจากสถานีโอกายามะไปยังสถานีสึยามะ) นั่นก็เพราะโอคายาม่าเป็นบ้านเกิดของคิชิโมโต (Kishimoto Masashi) เจ้าของผลงานการ์ตูนดังเรื่องนี้ที่มียอดขายนับสิบล้านเล่มอย่าง นารูโตะ นินจาจอมคาถา” ที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี
บริเวณหน้าสถานีรถไฟโอคายาม่า มีอนุสาวรีย์โมโมทาโร่ตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ เรื่องราวของเด็กชายที่เกิดจากลูกท้อ ผู้ออกเดินทางไปปราบยักษ์พร้อมลิง หมา นก อันเป็นเทพนิยายซึ่งมีเรื่องราวดำเนินอยู่ในสมัยเอโดะ สัญลักษณ์ของเมืองแห่งปราสาทสีดำโบราณตำนานลูกท้อนี้ด้วย
DAY 2
ศาลเจ้าของชาวเมือง
สายลมแห่งมนตราชินโตที่ศาลเจ้าคิบิตสึ (Kibitsu Shrine) ศาลเจ้าใหญ่ซึ่งเป็นศูนย์รวมศรัทธาของชาวเมือง ไฮไลต์ของที่นี่จะอยู่ที่ห้องโถงของฮิโยคุอิริโอโมยัตสึคุริอันงามด้วยงานไม้ของช่างฝีมือเก่า และโถงทางเดินที่มีความยาว 400 เมตร ผ่านดงดอกไฮเดรนเยียหลากสีสันอันโอบล้อมขุนเขาคิบิต ดั่งบทกวีไฮกุที่ถูกสลักไว้บนก้อนหินใหญ่ “สัมผัสรู้ถึงสายลมแห่งฤดูใบไม้ร่วง พัดผ่านภูเขาคิบิต”
นอกจากนี้ ศาลเจ้าแห่งนี้ยังจัดให้มีพิธีอำนวยพรกับพิธีเสี่ยงทายทำนายโชคชะตาด้วยเสียงกังวานจากการหุงข้าวแบบโบราณ โดยให้ผู้ศรัทธาตั้งคำถามและฟังคำตอบจากเสียงนั้น หากเสียงดังฟังชัดใส ก็ถือเป็นลางดี แต่ผู้ประกอบพิธีย้ำว่า จะดีจะร้ายเพียงใด ให้จำไว้ว่าทุกอย่างดำรงอยู่ภายในใจของเธอเอง
เราเดินทางต่อไปยังปราสาทโอคายาม่า (Okayama Castle) หรือที่หลายคนเรียกว่า “ปราสาทสีดำ” สัญลักษณ์สำคัญอีกแห่งของเมือง ปราสาทเก่ากว่า 200 ปีที่สร้างตั้งแต่สมัยโชกุนโทคุกาว่าในช่วงปีเคโจที่ 2 โดยอุคิตะ ฮิเดอิเอะ 1 ใน 5 ผู้สำเร็จราชการของโทโยโทมิ
ปราสาทสีดำ
ปราสาทโอคายาม่ามีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “อุโจ” อันเนื่องมาจากภาพลักษณ์ภายนอกที่มีผนังเป็นสีดำเคยถูกเผาทำลายไปตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนที่จะสร้างขึ้นมาใหม่ตามโครงสร้างเดิมทุกประการ ปัจจุบันกลายเป็นที่ท่องเที่ยวและจุดชมวิวพาโนรามาของเมืองได้จากชั้นบนของปราสาท อีกทั้งยังจัดแสดง
ศิลปวัฒนธรรม ผู้มาเยือนสามารถลองสวมกิโมโนถ่ายภาพได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ หรือหากสนใจประสบการณ์ปั้นเครื่องดินเผา เข้าพิธีชงชา ก็สามารถเข้าร่วมได้ตามรอบตารางเวลา (วันละ 5 รอบ) ค่าใช้จ่ายเพียง 1,200 เยนเท่านั้น
สวนเซน 4 ฤดู
เคียงคู่กันกับตัวปราสาท หากเดินข้ามสะพานไปก็จะพบสวน Okayama Korakuen Garden สวนเซนแสนงาม 4 ฤดูที่มีธารน้ำไหลผ่านโดยรอบที่ไหลมาจากแม่น้ำอาซาฮีกาว่า
“เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ ซากุระก็จะบาน ผ่านฤดูใบไม้ร่วง สีสันของใบไม้ปลิดปลิวแต่งแต้มธารน้ำ ถามถึงฤดูร้อน สายน้ำจะเรืองแสงในยามค่ำคืนกลมกลืนกับงานเทศกาล ส่วนฤดูหนาว หิมะขาวโพลนจะปกคลุม”
บาระซูชิ
เราได้มีโอกาสพักดื่มชาเขียว ไอศกรีมพีช และขนมคิบิดังโงะ ขนมที่โมโมทาโร่ให้สัตว์ทั้ง 3 กินจนมีพลังไปปราบยักษ์ (เป็นของวิเศษโดราเอมอนด้วย) มื้อกลางวันเป็น “บาระซูชิ” อาหารท้องถิ่นที่มีปลาดิบจากท้องทะเล ท้องทุ่งและภูเขาอันสดใส คล้าย ๆ ชิราชิด้ง (ข้าวหน้าปลาดิบ) แต่ไม่จำเป็นต้องมีโชยุกับวาซาบิ รสชาติอร่อยสดใหม่ รวมทั้งมีปลามามาคาริ ปลาท้องถิ่นเลื่องชื่อเป็นพระเอกอยู่บนจานด้วย
กล่าวถึงประวัติของบาระซูชิ ในอดีตเมื่อคราวที่เกิดความขาดแคลนขึ้นในญี่ปุ่น โชกุนได้สั่งให้ทุกเมืองประหยัดด้วยการกินข้าวกับผักที่หามาได้เท่านั้น แต่เนื่องจากโอคายาม่าเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ พวกขุนนางเลยแอบซ่อนกุ้งหอยปูปลาเอาไว้ข้างล่างแล้วเอาข้าวกลบไว้ พอคนตรวจเดินผ่านไป พวกเค้าก็จะคุ้ยเอาเครื่องเคราขึ้นมาทาน มื้อเที่ยงของฉันในวันนี้ ก็เรียกได้ว่ากินข้าวอย่างขุนน้ำขุนนางกันเลย
ลูกพีชสีขาว
ตกบ่ายเป็นโปรแกรมเด็ดลูกพีชที่สวนโทโมมิเอน (Tomomien) เพื่อนสนิทชาวญี่ปุ่นของฉันกระซิบบอกก่อนมาว่า เธอยอมรับว่าผลไม้ไทยสุดยอดทุกอย่าง ยกเว้นลูกพีชสีขาวอันหอมหวานต้องเป็นของโอคายาม่าเท่านั้น เมื่อถึงสวนมีคุณลุงคุณป้าและหนุ่มสาวชาวสวน พร้อมใจกันมายืนต้อนรับและจัดเตรียมลูกพีชไว้ให้
คุณลุงคุณป้าสอนวิธีเลือกและเด็ดลูกพีชจากต้น วิธีการคือให้เลือกลูกพีชผลใหญ่ ๆ ที่มีสีเข้มแล้วเด็ดตรงขั้ว สาวไทยอย่างเรามองดูลูกพีชทรงสวย กลิ่นหอมฟุ้งประหนึ่งอัญมณีมีค่า จะจับต้องหรือลองปอกชิมก็หวั่นว่าจะทำให้บอบช้ำ โชคดีว่าได้หนุ่มหน้าใสใจดี คุณเคนอิจิ ประชาสัมพันธ์ผู้ทุ่มเทแห่งเมืองโอคายาม่ามาปอกให้ทาน สาว ๆ ก็เลยชื่นบานไปกับความหวานฉ่ำของลูกพีชที่สู้สีกันซะไม่มีกับคนปอก (ว้าว !) นอกจากลูกพีชแล้ว ยังมีองุ่นเขียวอยู่ที่โรงเรือนที่ถือเป็นผลไม้ชั้นเลิศอีกอย่าง น่าเสียดายว่ายังไม่สุกพอที่จะให้ชิมได้
เกาะอินุจิมะ
จบจากสวน เราก็ไปลงเรือกันที่ท่า Hoden Port เพื่อไปยังเกาะศิลปะอินุจิมะ (Inujuma Art Project Seirensho) ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งโอคายาม่า 3 กม. แต่เดิมเกาะแห่งนี้เป็นที่ตั้งของโรงงานถลุงหิน แร่และหลอมโลหะต่าง ๆ หินแกรนิตจากที่นี่ถูกนำมาสร้างเป็นกำแพงปราสาทเก่าด้วย ปัจจุบันโรงงานและพื้นที่ทั้งหมดของเกาะถูกปรับให้เป็นหอศิลป์อันทรงคุณค่า อันเป็นโปรเจ็คท์ที่เกิดจากความร่วมมือร่วมใจกันระหว่างชาวเกาะประมาณ 50 หลังคาเรือนที่อาศัยอยู่ที่นี่กับศิลปินชื่อดัง พวกเขาร่วมกันทำให้เกาะแห่งนี้กลายเป็นเกาะแห่งศิลปะร่วมสมัยที่มีชีวิตชีวา ปล่องไฟและโรงงานเก่าถูกปรับปรุงให้กลายเป็นหอศิลป์สถาปัตยกรรมร่วมสมัย ด้วยฝีมือของสถาปนิกคนดังอย่าง Hirioshi Sambuichi และ Yukinori Yanagi
โดยส่วนตัวแล้ว ฉันชอบสถานที่แห่งนี้ที่สุด เพราะแสงของอินุจิมะช่างงดงามจับตาเสียจริง ๆ พวกศิลปินสร้างงานที่เล่นกับแสงได้อย่างน่าสนใจ ด้วยการใช้กระจกสะท้อนให้ความสว่างในโรงงานอันมืดมิดสิ่งแวดล้อม โรงงาน บ้านเรือนบนเกาะอินุจิมะแห่งนี้ล้วนเป็นงานร่วมสมัยในทุกย่างก้าว อะไร ๆ ก็ล้วนงามตาด้วยแสงกระจ่างสว่างใสที่ฉายฉานสะท้อนภาพงานศิลป์
แล้วพบกันตอนต่อไปค่ะ (คลิก)
เรื่อง : เต้าหู้ ภาพ : แก้ม กราฟิค : JUA เรียบเรียง : กองไทย
ขอขอบคุณ : Okayama Visitors & Convention Association