CHAMELEON LIME WHOOPIEPIE สีสัน ความเห่ยแสนเท่ กับเส้นทางดนตรีที่ทั้ง so-so และเข้มแข็งในแบบฉบับของตัวเอง พร้อมการเยือนไทยครั้งแรกที่ Big Mountain Music Festival 2025

นับตั้งแต่ CHAMELEON LIME WHOOPIEPIE (CLWP) ปรากฏตัวบนซีนดนตรีญี่ปุ่น พวกเขาก็กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มศิลปินที่น่าจับตาที่สุดแห่งยุค ด้วยสไตล์อันจัดจ้านของ Chi- นักร้องและครีเอทีฟผู้มีผมสีส้มเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงคู่หูสวมหน้ากาก Whoopies No.1 และ Whoopies No.2 ที่ร่วมขับเคลื่อนแนวทางดนตรีสุดโดดเด่นของวง

ทั้งสามไม่ได้เพียงสร้างสรรค์บทเพลงร่วมกันเท่านั้น แต่ยังลงมือทำทุกองค์ประกอบด้วยตัวเอง ตั้งแต่ศิลปะภาพ แนวคิด ไปจนถึงพร็อพสุดแหวกแนวที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของวง

CHAMELEON LIME WHOOPIEPIE สีสัน ความเห่ยแสนเท่ กับเส้นทางดนตรีที่ทั้ง so-so และเข้มแข็ง

(ภาพโดย: Yuko Yasukawa)

เส้นทางของ CLWP เริ่มชัดเจนขึ้นตั้งแต่ซิงเกิลเปิดตัว “Dear Idiot” ในปี ค.ศ.2019 ก่อนจะได้รับการจับตามองในวงกว้างเมื่อพวกเขาถูกเลือกเป็นหนึ่งในศิลปินโปรเจ็กต์ RADAR: Early Noise 2021 จาก Spotify และได้ขึ้นเวทีเฟสติวัลระดับยักษ์อย่าง Summer Sonic 2022 ที่โตเกียวและโอซาก้า

จากนั้นชื่อของวงก็เริ่มถูกกล่าวถึงนอกประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะการเปิดตัวในงาน SXSW 2023 ที่ถูกจัดอันดับเป็นหนึ่งใน “10 การแสดงที่ดีที่สุด” จาก VIBE และต่อเนื่องด้วยการติดลิสต์ “The Best 15 Acts” ใน SXSW 2024 โดยนิตยสารอังกฤษ CLASH

แม้กระแสชื่นชมและคำเชิญร่วมงานจากหลากหลายศิลปินจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ CLWP ก็ยังคงมุ่งมั่นทำเพลงในแบบฉบับของตัวเอง ป๊อปและฮิปฮอปแบบ DIY ที่พร้อมปะทุบนแดนซ์ฟลอร์ ทั้งสดใหม่ เฉียบคม และเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขัน การมองโลกในแง่ดี และความเป็นตัวของตัวเอง

CHAMELEON LIME WHOOPIEPIE สีสัน ความเห่ยแสนเท่ กับเส้นทางดนตรีที่ทั้ง so-so และเข้มแข็ง

(ภาพโดย: Yuko Yasukawa)

ด้วยเส้นทางดนตรีที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และเอกลักษณ์ที่ไม่เคยสั่นคลอน CLWP จึงเป็นหนึ่งในวงญี่ปุ่นที่เราคาดหวังอยากเห็นบนเวทีจริงมากที่สุด และก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาขึ้นโชว์ในเทศกาลดนตรี Big Mountain Music Festival 2025 วันที่ 6 ธันวาคมนี้ ที่ดิโอเชี่ยนเขาใหญ่ (Red Stage) เวลา 18.10 น. DACO THAI จึงชวนพวกเขาทั้งสามมาพูดคุยถึงบทเพลงที่พวกเขาร่วมกันรังสรรค์ขึ้นมา และความรู้สึกของการมาเยือนประเทศไทยเป็นครั้งแรก


คนที่เห่ยหน่อยอาจจะโดนใจกว่านะ


- ก่อนอื่นเลย อยากให้เล่าจุดเริ่มต้นในการก่อตั้ง CHAMELEON LIME WHOOPIEPIE ขึ้นมาหน่อยว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร และเบื้องหลังชื่อวงมาจากอะไร
สำหรับที่มาของชื่อวงนั้น เริ่มมาจากการที่ฉันอยากให้ชื่อวงเป็นชื่อที่พอพิมพ์ค้นหาแล้วจะขึ้นมาทันที แล้วตอนนัั้น Whoopies No.1 ก็พูดขึ้นมาว่าขนมอเมริกันที่ชื่อ “Choco Lime Whoopiepie” น่ารักดี ฉันเลยแทนที่คำว่า Choco ด้วยคำว่า Chameleon ซึ่งเป็นสัตว์ที่ฉันชื่นชอบวิถีชีวิตของพวกมัน จนกลายมาเป็นชื่อวงในที่สุดค่ะ

ส่วนจุดเริ่มต้นที่ทำให้พวกเราทั้งสามได้มาทำดนตรีด้วยกัน คือเริ่มจากฉันเองเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ๆ ว่า “ทำไมคนเราถึงมีชีวิตอยู่กันนะ” จนกระทั่งตอนเรียนจบม.ปลาย ฉันรู้สึกดิ่งมาก ๆ จึงมีความคิดที่อยากจะทำในสิ่งที่ตัวเองรักเป็นสิ่งสุดท้ายในชีวิต ซึ่งก็คือ “การทำดนตรี” และหลังจากที่ได้ลองทำเพลงเองอยู่หนึ่งเดือน ฉันก็ได้โพสต์เพลงที่ฉันทำขึ้นผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย จนกระทั่ง Whoopies No.1 และ Whoopies No.2 ได้เจอเพลงที่ฉันโพสต์ไ้ว้ ก่อนจะชวนฉันมาแต่งเพลงด้วยกัน ซึ่งพวกเราเข้ากันได้ดี ได้เริ่มสร้างสรรค์ผลงานร่วมกัน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเส้นทางของวงค่ะ

- ผลงานเพลง “PUNKS” ถูกใช้เป็น Ending Theme ประกอบทีวีอนิเมะเรื่อง “ONE PIECE” ด้วย อยากให้เล่าที่มาที่ไปหน่อยว่าเป็นมาอย่างไร และรู้สึกอย่างไรที่เพลงถูกเลือกใช้ประกอบอนิเมะที่แฟน ๆ ทั่วโลกชื่นชอบ
การที่เพลง “PUNKS” ถูกเลือกให้เป็นเพลงประกอบ “ONE PIECE” นั้น เริ่มต้นจากการที่ทีมงานติดต่อมาทางพวกเราว่าอยากให้ช่วยทำเพลงให้ ก่อนที่พวกเราจะมารู้ในภายหลังว่าอาจารย์โอดะ (เออิจิโร่ โอดะ) นั้นติดตามและฟังเพลงของวงอยู่ด้วยเช่นกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมวงเราถึงถูกชวนมาทำเพลงประกอบในครั้งนี้

ตอนแรกที่รู้ว่าจะได้ร้องเพลงนี้ ฉันเองก็รู้สึกตกใจมาก ๆ ค่ะ เพราะวงพวกเรานั้นเป็นเพียงวงอินดี้วงหนึ่ง ไม่ใช่วงดังระดับประเทศ และถึงแม้จะเคยหวังไว้ว่าอยากจะมีโอกาสได้ทำเพลงประกอบอนิเมะสักเรื่อง แต่ก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้ทำเพลงประกอบอนิเมะชื่อดังและยิ่งใหญ่อย่าง ONE PIECE ค่ะ

แต่พอได้รู้ว่าภาคที่จะถูกใช้เพลง PUNKS เป็นเพลงประกอบนั้นคือภาค Egghead ซึ่งมีความเป็นไซไฟ ความเป็นโลกอนาคตสูงมาก เลยเข้าใจว่าทำไมถึงเลือกวงให้เป็นคนทำเพลงประกอบภาคนี้ ตอนที่ได้ทำเพลงนี้ เลยมีความตั้งใจที่จะทำเพลงอย่างอิสระและมีความเป็ฯตัวของตัวเองให้ได้มากที่สุดค่ะ

- ล่าสุดเพิ่งปล่อยอัลบั้ม Whoop It Up “DELUXE Edition” ที่มีถึง 22 เพลง ออกมา อยากให้เล่าถึงประสบการณ์ในการทำอัลบั้มนี้หน่อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง และเพลงไหนในอัลบั้มที่อยากแนะนำให้ผู้ฟังลองฟังเป็นเพลงแรก เพราะอะไร
สำหรับอัลบั้ม Whoop It Up “DELUXE Edition” นั้น เกิดขึ้นจากการผสมผสานแนวเพลงที่หลากหลายไว้ด้วยกัน เพื่อให้ทุกคนสามารถเต้นไปด้วยกันได้ ไม่ว่าจะเป็นสไตล์เพลงที่วงชอบอย่างเพลงช่วงยุค 90 ส่วนแนวเพลงที่วงชอบทำโดยปกติจะเป็นแนวฮิปฮอป แต่ในอัลบั้มนี้ได้มีการผสมผสานกับความเป็นปัจจุบัน และใส่แนวเพลง UK Rock เข้ามาด้วย

ส่วนเพลงที่อยากจะแนะนำให้ลองฟังเป็นเพลงแรกคือเพลง “So-so Life” ค่ะ เพราะนอกจากจะเป็นเพลงแรกของอัลบั้มแล้ว ก็คิดว่าสามารถอธิบายความรู้สึกของวงในระหว่างที่ทำอัลบั้มนี้ได้ดีที่สุดอีกด้วย โดยเนื้อเพลงจะมีความหมายประมาณว่า “ชิลแต่ใจสู้ สบาย ๆ แต่ก็จะสู้ชีวิตไปด้วยกัน” เป็นการใช้ชีวิตแบบ so-so ไปเรื่อย ๆ แต่ในขณะที่ใช้ชีวิตแบบนั้นก็อยากจะใช้ต่อไปอย่างเข้มแข็งด้วยเช่นกัน ฉันคิดว่ามันเหมาะกับความรู้สึกของพวกเราตอนที่ทำอัลบั้มเป็นอย่างดีเลยค่ะ

และนอกจากเพลง So-so Life แล้ว ในอัลบั้มนี้ยังมีเพลงที่ถูกใช้เป็นเพลงประกอบอนิเมะ ประกอบซีรีส์ และประกอบโฆษณาอีกด้วย ถือว่าเป็นหลากหลายโอกาสที่วงได้รับในการทำอัลบั้มนี้ และทำให้ขอบเขตในการทำเพลงของวงนั้นกว้างมากขึ้นจากเดิมด้วยค่ะ

- จากเพลงทั้งหมดที่ได้สร้างสรรค์ขึ้นมาจนถึงตอนนี้ คิดว่าเพลงไหนที่สะท้อนตัวตนของ CHAMELEON LIME WHOOPIEPIE ได้ดีที่สุด
ค่อนข้างอยู่เหมือนกันนะคะ แต่คิดว่าเพลง ‘Crush Style’ น่าจะสะท้อนตัวตนของพวกเราได้ดีที่สุดค่ะ โดยเพลงนี้เป็นเพลงแรก ๆ ที่พวกเราปล่อยออกมา แต่ก็ยังเป็นเพลงที่วงยังคงร้องโชว์อยู่จนถึงทุกวันนี้ โดยที่วงของพวกเราจะให้ความสำคัญกับ “ความเห่ยที่ยังคงมีความเท่อยู่ในตัว” ซึ่งถือเป็นสไตล์ที่วงชอบ และด้วยส่วนประกอบอื่น ๆ รวมทั้งในส่วนเนื้อเพลงเองอย่างท่อนที่ว่า “คนที่เห่ยหน่อยอาจจะโดนใจกว่านะ” (ダサい方がくらっちゃうGirl) เลยคิดว่าเป็นเพลงที่สะท้อนตัวตนของวงเราได้ดีค่ะ

ฟังเพลงอัลบั้มนี้: คลิก

- แน่นอนว่าผมสีส้มคือเอกลักษณ์ของ CHAMELEON LIME WHOOPIEPIE แต่ถ้าไม่ใช่สีส้ม อยากจะย้อมสีผมเป็นสีอะไรแทน เพราะอะไร
สำหรับตัวฉันเองแล้ว จริง ๆ ไม่ได้ยึดติดกับผมสีส้มเลยค่ะ ไม่ได้ยึดติดในแบบที่ว่าพรุ่งนี้ก็สามารถเปลี่ยนสีผมเป็นสีอื่นแทนได้เลย แต่ถ้าถามว่าอยากจะสีผมเป็นสีอะไรแทน คงจะเป็นสีดำค่ะ เพราะเวลาที่ทำสีผมแล้วพอผมยาวโคนผมก็จะเป็นสีดำ เลยรู้สึกว่ามันน่ารำคาญ (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นเลยอยากจะย้อมเป็นสีดำให้หมดเลยค่ะ

(ภาพโดย: Yuko Yasukawa)

- ได้ขึ้นโชว์ในเทศกาลดนตรีต่าง ๆ มาแล้วมากมาย ทั้ง Summer Sonic, SXSW และ The Great Escape รู้สึกอย่างไรบ้างกับการมาขึ้นโชว์ที่ไทยเป็นครั้งแรกใน Big Mountain เทศกาลดนตรีที่ถือว่าใหญ่ที่สุดอีกงานของไทย
จริง ๆ พวกเราทั้งสามคนอยากจะมาเมืองไทยนานมาก ๆ แล้ว และมองว่าเมืองไทยเป็นเมืองที่มีสีสัน มีความเป็นนีออนซิตี้ เป็นความยุ่งเหยิงที่มีสีสัน (หัวเราะ) เลยรู้สึกดีมาก ๆ ค่ะที่ในที่สุดก็จะได้มาขึ้นโชว์ในเมืองที่อยากจะมานานแล้ว และตั้งตารอมาก ๆ ที่จะได้มาเมืองไทยค่ะ

- แล้วตอนที่รู้ว่าจะได้เดินทางมาเมืองไทย รู้สึกอย่างไรบ้าง และสิ่งแรกที่อยากทำเมื่อถึงเมืองไทยคืออะไร
อยากจะลองกินข้าวเหนียวมะม่วงค่ะ จริง ๆ เคยกินที่ร้านอาหารไทยในญี่ปุ่นมาบ้างแล้ว แต่อยากจะลองมากินข้าวเหนียวมะม่วงในประเทศที่เป็นถิ่นกำเนิดจริง ๆ ดูบ้างค่ะ และอีกเมนูหนึ่งที่อยากลองกินคือ ‘แมลง’ ค่ะ

- สุดท้ายนี้ มีอะไรอยากจะฝากถึงแฟนเพลงชาวไทยบ้างไหม
สำหรับคอนเซ็ปต์เพลงที่พวกเราสร้างสรรค์ขึ้นมานั้น มันคือการหมุนวนเป็นวงกลม การวนลูปไปเรื่อย ๆ ระหว่าง positive และ negative รวมถึงการเป็นเพลงที่ทุกคนสามารถเต้นได้ ซึ่งมันคือการรวมทุกอย่างเอาไว้แล้วเต้นไปด้วยกัน ดังนั้นพวกเราจึงเตรียมพร้อมมาก ๆ เพื่อที่จะได้เต้นไปด้วยกันกับแฟนเพลงชาวไทยทุกคนในเทศกาลดนตรี Big Mountain ครั้งนี้ค่ะ

และนี่คือ CHAMELEON LIME WHOOPIEPIE ที่ทำให้เรารู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่ไม่ใช่แค่ความสนุกหรือความจัดจ้านของงานภาพและดนตรีเท่านั้น แต่เป็นความจริงใจของสามคนที่เลือกจะทำเพลงในแบบที่พวกเขารัก ในแบบที่เป็นตัวของตัวเอง แทบอดใจรอไม่ไหวแล้วที่จะได้ร่วมเต้นไปด้วยกันกับสมาชิกทั้งสามคนบนเวทีไทยเป็นครั้งแรกใน Big Mountain Music Festival 2025 วันที่ 6 ธันวาคมนี้ ที่ดิโอเชี่ยนเขาใหญ่ (Red Stage)

CHAMELEON LIME WHOOPIEPIE สีสัน ความเห่ยแสนเท่ กับเส้นทางดนตรีที่ทั้ง so-so และเข้มแข็ง

(ภาพโดย: Yuko Yasukawa)

ติดตามผลงานและให้กำลังใจ CHAMELEON LIME WHOOPIEPIE ได้ทาง
Website / x / YouTube


สำหรับการขึ้นแสดงของทั้ง CHAMELEON LIME WHOOPIEPIE และ WOLF HOWL HARMONY ใน Big Mountain Music Festival 2025 ครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจาก ‘CEIPA’ องค์กรซึ่งมีบทบาทในการส่งเสริมอุตสาหกรรมดนตรีและความบันเทิงของญี่ปุ่นสู่เวทีนานาชาติ

เกี่ยวกับ CEIPA
CEIPA (สมาคมส่งเสริมอุตสาหกรรมวัฒนธรรมและบันเทิงญี่ปุ่น) เป็นองค์กรที่สนับสนุนการขยายตัวสู่ระดับสากลของอุตสาหกรรมดนตรี วัฒนธรรม และความบันเทิงของญี่ปุ่น โดยดำเนินโครงการด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคล การแลกเปลี่ยนความร่วมมือระหว่างประเทศ การเผยแพร่ผลงานคอนเทนต์ รวมถึงการส่งเสริมการพัฒนาเชิงดิจิทัลของอุตสาหกรรมครีเอทีฟ

การเข้าร่วม BMMF ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่มุ่งผลักดันการขยายกิจกรรมของศิลปินญี่ปุ่นในต่างประเทศ พร้อมทั้งส่งเสริมความร่วมมือด้านดนตรีระหว่างญี่ปุ่นและประเทศไทย

นอกจากนี้ CEIPA ยังเป็นผู้จัดงานประกาศรางวัลด้านดนตรี “Music Award Japan” ซึ่งมุ่งเน้นในการยกระดับคุณค่าของดนตรีญี่ปุ่นในเวทีนานาชาติ และส่งเสริมการเผยแพร่ผลงานของศิลปินและครีเอเตอร์ทั้งในและต่างประเทศอีกด้วย

views