ยุคอะซึจิ โมะโมะยะมะ (ค.ศ. 1573-1603)
ประเทศญี่ปุ่นเริ่มรู้จักวิทยาการและวัฒนธรรมต่างๆ ของทางตะวันตกผ่านทางชาวโปรตุเกสที่ได้ขึ้นฝั่ง
บนเกาะทะเนะงะ แคว้นซาสึมะ จากนั้นไม่นานขนมปังก็เริ่มเป็นที่แพร่หลายไปพร้อมๆ กับการเผยแพร่ศาสนา
คริสต์ โดยมิชชั่นนารี เพราะมีบันทึกไว้ว่า โอดะโนบุนางะ ไดเมียวยุคนั้น ผู้เปิดใจรับเอาวิทยาการจากยุโรป
อย่างปืนคาบศิลามาใช้ในกองทัพเป็นคนแรกๆ

JPan2

ท่านนิยมทาน “Biscotti” (ขนมปังแข็งชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายบิสกิต)

JPan3

จวบจนปี ค.ศ. 1587 ญี่ปุ่นได้เริ่มบังคับใช้กฎหมายการปิดประเทศ และทำการขับไล่มิชชั่นนารีออกนอกประเทศทั้งหมด ทำให้ขนมปังหายไปจากญี่ปุ่นนับตั้งแต่นั้นมา

 

ยุคเอโดะ (ค.ศ.1603-1868)
ขนมปังกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง ภายหลังจากเหตุสงครามฝิ่นที่ปะทุขึ้นในปี ค.ศ.1840 เมื่อกองทัพอังกฤษ
ได้ทำสงครามชนะราชวงศ์ชิงของจีน และกลัวว่าอังกฤษอาจจะรุกรานญี่ปุ่นด้วย จึงมอบหมายให้
เองาวะ ทาโรซาเอมอน
เป็นผู้วางแผนป้องกันการรุกรานจากอังกฤษ

JPan4

เขาจึงเสริมสร้างกองทัพให้แข็งแกร่ง และมีความคิดที่ว่าการพกขนมปังไปเป็นเสบียง สะดวกกว่าหุงข้าว
จึงสั่งให้ผลิตอาหารที่ทำจากขนมปังเป็นจำนวนมาก กล่าวได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่คนญี่ปุ่นได้ทำขนมปัง
สำหรับคนญี่ปุ่นจริงๆ ซึ่งต่อมาไม่นาน นโยบายปิดประเทศได้ถูกยกเลิกไป กลิ่นขนมปังจึงกลับมาหอมหวน
ในญี่ปุ่นอีกครั้ง

 

ยุคเมจิ (ค.ศ.1868-1912)
ในสมัยเมจิเป็นช่วงเวลาที่วัฒนธรรมตะวันตกได้หลั่งไหลเข้ามาอย่างรวดเร็ว วัฒนธรรมการทานขนมปังเริ่มหยั่งรากลึกลงไปในวิถีชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่น และเป็นจุดกำเนิดของร้าน “Kimura” สาขาแรกที่กินซ่าและถือเป็นร้านเบเกอรี่ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น

JPan5

โดยร้านนี้เป็นต้นกำเนิดของอันปัง ซึ่งทางร้านได้นำเอาเทคนิคการหมักเหล้าสาเกมาใช้ในการหมักยีสต์
รสชาติจึงออกมาถูกลิ้นชาวญี่ปุ่นอย่างมาก อีกทั้งอาหารสไตล์ตะวันตกอย่างนมและขนมปังเป็นเมนูที่มี
คุณค่าทางอาหารสูง อันปังจึงเป็นที่นิยมไปทั่วประเทศญี่ปุ่น

 

ยุคไทโช (ค.ศ.1912-1926)
สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เริ่มขึ้นในปีไทโชที่ 3 ญี่ปุ่นได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกของฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งญี่ปุ่นได้รับเอาวิธีทำและการอบขนมปังมาจากเชลยชาวเยอรมันที่จับกุมตัวมาได้ หลังจบสงครามก็เริ่มมีการเพาะเลี้ยงยีสต์และการผลิตขนมปังแบบอุตสาหกรรมขึ้น การกินขนมปังจึงเป็นที่แพร่หลายกับคนญี่ปุ่น แต่ทว่าผลกระทบจากการพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ทำให้ญี่ปุ่นเกิดวิกฤตขาดแคลนอาหารและวัตถุดิบ เรียกได้ว่าเป็นยุคมืดมนสำหรับทั้งคนญี่ปุ่นและขนมปังเลยทีเดียว

 

ยุคโชวะ (ค.ศ.1926-1989)
ทันทีที่สิ้นสุดสงคราม ทำให้ญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะขาดแคลนอาหารอย่างหนัก แต่ก็ยังได้รับความช่วยเหลือจากอเมริกา ซึ่งได้ส่งสิ่งของจำเป็นจำนวนมาก รวมถึงข้าวสาลี ญี่ปุ่นจึงยังสามารถอบขนมปังได้

JPan6

หลังจากนั้นวิถีชีวิตและการทานขนมปังแบบชาวตะวันตกจึงได้แทรกซึมเข้าไปในวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นตลอดมา จวบจนปัจจุบันญี่ปุ่นมีชนิดของขนมปัง และเทคนิคในการอบขนมปังเป็นอันดับ 1 ของโลก และขนมปังก็ได้กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันของชาวญี่ปุ่นไปเสียแล้ว

 

3 ขนมปังที่บ่งบอกความเป็นญี่ปุ่น

1. อันปัง あんパン

JPan7

อันปังเกิดขึ้นสมัยเมจิที่ 2 ถูกคิดค้นโดย คิมูระ ยาสุเบะ เจ้าของร้านคิมูระ กรุงโตกียว โดยในสมัยนั้น
จะเรียกว่า ซากุระอันปัง เป็นขนมปังไส้ถั่วแดงที่ตกแต่งด้วยดอกซากุระหมักเกลือ ใช้สำหรับถวายให้แด่
สมเด็จพระจักรพรรดิ นอกจากขนมปังหวานอย่างอันปังแล้ว ก็ยังมีขนมปังหวานขนิดใหม่ๆ เกิดขึ้นมาอีกอย่างต่อเนื่อง เช่น ครีมปัง (คิดค้นขึ้นโดยนายโซมะเจ้าของร้านนากามูระ ที่ชินจูกุ ในสมัยเมจิที่ 3) และ
แยมปัง (คิดค้นขึ้นโดยนายกิชิโระ ผู้สืบทอดเจ้าของกิจการของร้านคิมูระลำดับที่สาม ในสมัยเมจิที่ 3) เป็นต้น

 

2. เมล่อนปัง メロンパン

JPan8

เมล่อนปัง คือ ขนมปังอบที่ทำเป็นรูปทรงกลมมีลวดลายด้านบนเป็นตาราง โดยที่ด้านบนของขนมปังทำจากแป้งคุกกี้ เพื่อให้ขนมปังด้านบนมีความกรอบ ส่วนเนื้อขนมปังด้านในใช้แป้งสาลี สำหรับเมล่อนปังนั้นไม่มีใคร
รู้แน่ชัดว่าใครเป็นผู้คิดค้น แต่ก็เล่ากันว่าเมล่อนปังนั้นเป็นขนมปังที่มีรูปทรงเหมือนเมล่อน และมีการแต่งกลิ่น
เมล่อนเพิ่มเข้าไป จึงถูกเรียกว่าเมล่อนปัง คนโกเบนิยมเรียกว่า sunrise เพราะว่ามีรูปร่างเหมือนพระอาทิตย์ ซึ่งคนคันไซในจังหวัดอื่นก็นิยมเรียกตามเช่นกัน ปัจจุบันร้านขนมปังหลายร้านนิยมเพิ่มรสสัมผัสให้เมเล่อนปังกันมากขึ้น อย่างเช่น โรยหน้าด้วยช็อกโกแลตชิพ หรือมีการใส่ไส้ครีมเอาไว้ด้านใน

 

3.คาเรปัง カレ一パン

JPan9

คาเรปังเป็นขนมปังทอดสอดไส้แกงกะหรี่ มีวางขายครั้งแรกที่ร้าน Meikadou ในโตเกียวเมื่อปีโชวะที่ 2 (ค.ศ.1927) ซึ่งก็คือร้าน Cattlea ในปัจจุบันนั่นเอง ทุกวันนี้คาเรปังเป็นขนมปังญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมจากคนในประเทศมากเป็นอันดับ 1 ส่วนไอเดียการทำคาเรปังนั้นมาจากทงคัตสึ โดยปกติมักจะคลุกเกล็ดขนมปัง
บนผิวขนมปังแล้วนำไปทอดในน้ำมันเยอะๆ เหมือนการทอดทงคัตสึนั่นเอง โดยรูปร่างของคาเรปังนั้นจะคล้ายกับลูกรักบี้ มองปุ๊บก็รู้เลยว่าเป็นคาเรปัง เมื่อลองทานแล้วจะสัมผัสได้ถึงเนื้อขนมปังที่กรุบกรอบและรส
แกงกะหรี่หอมๆ เต็มคำ และแกงกะหรี่ที่ใช้ทำไส้จะข้นเล็กน้อยไม่เหลวเหมือนแกงกะหรี่ที่ราดทานคู่กับข้าว

views