“ขอให้นายใช้ชีวิตด้วยใจอันเข้มแข็ง” บทเรียนหลังความตาย? แบบญี่ปุ่น ๆ
“ช่วงนี้ รู้สึกว่าเครียด ๆ ไหม?”
การใช้ชีวิตท่ามกลางโรคระบาด และสภาพเศรษฐกิจฝืด ๆ บวกกับสภาวะสังคมในปัจจุบัน เราสามารถพูดออกมาได้เลยว่า ความเครียดนั้นแผ่กระจายไปหาผู้คนในทุกชนชั้นจริง ๆ จนเป็นเรื่องน่าเสียใจที่ทุกวันนี้เราจะเห็นข่าวของการฆ่าตัวตายบ่อยขึ้นทุกวัน ๆ ไม่เว้นแม้แต่ในบ้านเรา อัตราการฆ่าตัวตายของประชากรไทยเพิ่มขึ้นถึง 7.3 คนต่อจำนวนประชากรแสนคน จากที่ปกติจะคงที่อยู่ที่ประมาณ 5 คนต่อแสนคนเท่านั้น
ญี่ปุ่นก็นับเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการฆ่าตัวตายในอันดับต้น ๆ เหมือนกัน ต่อให้คุณไม่ค่อยได้เสพสื่อจากทางญี่ปุ่นมากนัก คุณก็ต้องเคยได้ยินเรื่องการฆ่าตัวตายที่สถานีรถไฟไปจนถึงป่าที่มักจะมีคนเข้าไปจบชีวิตลงบ้างแน่ ๆ
แต่ประเทศที่อัตราการฆ่าตัวตายสูง ๆ แบบญี่ปุ่นนี้กลับมีวรรณกรรมที่แสนละเมียด และพูดถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่ได้อย่างงดงามจนเป็นหนึ่งในวรรณกรรมที่ผมชอบมาก ๆ และจะชอบไปตลอดกาลอย่าง “Colorful” หรือชื่อภาษาไทยว่า “เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม” ผลงานเขียนแสนอบอุ่นฝีมือคุณโมริ เอโตะ (Mori Eto)
ความดีงามของนิยายเล่มนี้กระแทกใจใครหลาย ๆ คนจนถูกดัดแปลงออกมาเป็นอะนิเมะชื่อเดียวกัน และยังได้ถูกดัดแปลงมาเป็นภาพยนตร์ไทยในชื่อว่า “Homestay” ที่มีเจมมี่เจมส์และเฌอปรางเป็นนักแสดงนำด้วย แม้จะไม่ใช่หนังใหม่อะไร แต่ในสภาวะที่หลาย ๆ คนอาจจะกำลังเครียดและใกล้จะถึงทางตันของชีวิต วันนี้ผมอยากหยิบหนังสือเล่มเก่าเล่มนี้มาปัดฝุ่นและเล่าให้ใครก็ตามที่ผ่านมาเจอบทความนี้ได้ใคร่ครวญถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่ไปพร้อม ๆ กันกับผมอีกสักครั้งหนึ่ง
Colorful เป็นเรื่องราวของวิญญาณที่เพิ่งตายแต่ดันเป็นผู้โชคดีได้รางวัลจากเทวดาชื่อ ปูระปูระ ให้ได้กลับไปอยู่ในร่างของ โคบายาชิ มาโคโตะ เด็กหนุ่มชั้นม.สามที่เพิ่งฆ่าตัวตายไปหมาด ๆ เจ้าตัวเอกของเราเลยจำต้องมาอาศัยอยู่ในร่างของมาโคโตะพร้อม ๆ กับมีภารกิจที่ต้องนึกให้ออกว่าในอดีตเขาทำอะไรลงไปก่อนตาย
แม้จะฟังดูหนักแต่ “เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม” กลับเป็นวรรณกรรมแนวคอมเมดี้แสนอบอุ่นที่ค่อย ๆ ปล่อยให้เราสำรวจชีวิตของมาโคโตะทีละนิด ๆ ไปพร้อม ๆ กับวิญญาณของตัวเอก เสมือนได้เกิดใหม่ในร่างของเด็กม.สามไปด้วยกันก่อนจะพบว่าเจ้ามาโคโตะนี่ปัญหารุมเร้าแทบจะทุกมิติของชีวิต ทั้งครอบครัว เพื่อน ไปจนถึงเรื่องหัวใจ
เมื่อเราได้ถอยออกมาหนึ่งก้าวและมองปัญหาชีวิตของคนอื่นโดยไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องของตัวเอง เรากลับมองเห็นปัญหาชัดขึ้นและได้พบว่าแม้ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์แสนสาหัส ความสุขก็จะมาเยือนเสมอ แต่ในขณะเดียวกัน วรรณกรรมเรื่องนี้ก็สอนให้เราเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในจุดที่คนอื่นกำลังยืนอยู่เหมือนกัน เรื่องที่คนอื่นมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับใครบางคนเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้นกลับหนักหนาเกินกว่าจะฝืนแบกไว้บนบ่า
วรรณกรรมเรื่องนี้จึงทำให้คุณได้หยุดเพ่งมองให้ลึกถึงธรรมชาติของตนเองคล้าย ๆ กับวิถีเซน และสอนการมองชีวิตอย่างเข้าใจ ได้เปิดมุมมองการเห็นโลกที่กว้างขึ้น และย้ำเตือนว่าชีวิตเป็นสิ่งสวยงาม ช่างเป็นการมองโลกแบบญี่ปุ่นสุด ๆ ไปเลย
ถ้าคุณกำลังท้อและรู้สึกว่าชีวิตในเวลานี้มันช่างมืดมนเสียจริง อยากให้คุณได้หยิบนิยายเก่า ๆ เล่มนี้ขึ้นมาปัดฝุ่นออกสักหน่อยและอ่านเรื่องราวของมาโคโตะดู ให้เขาได้อยู่เป็นเพื่อนคุณในวันห่วย ๆ ให้คุณได้รู้สึกว่า ชีวิตมันก็ไม่ได้แย่ไปซะทั้งหมด ในเรื่องซวย ๆ ต้องมีเรื่องดี ๆ อยู่บ้างแหละ
“สิ่งที่เคยคิดว่าเป็นสีดำนั้น ความจริงแล้วเป็นสีขาว
แต่เป็นความรู้สึกในทำนองว่า สิ่งที่คิดไว้ว่ามีเพียงสีเดียวนั้น
พอมองดูดี ๆ แล้วกลับพบว่ามันมีสีต่าง ๆ ซุกซ่อนอยู่
มีทั้งสีดำ มีทั้งสีขาว
มีทั้งสีแดง สีน้ำเงิน และสีเหลือง
มีทั้งสีสว่าง และสีมืด
มีทั้งสีสวย และสีน่าเกลียด
มองเห็นได้หลายสี เมื่อเปลี่ยนมุมมอง”
ก่อนจะจากกัน ผมขอฝากประโยคที่ผมชอบที่สุดในเรื่องซึ่งเจ้าเทวดาปูระปูระได้พูดกับตัวเอกของเรื่องเอาไว้ “ขอให้นายใช้ชีวิตด้วยใจอันเข้มแข็ง”
ถ้าวันนี้ใจอ่อนแอ อย่าลืมใจดีกับตัวเองบ้าง แล้วไปหาของอร่อย ๆ กินสักหน่อยนะครับ นอนหลับให้อิ่มแล้วรอวันที่ดีเหมือนเจ้ามาโคโตะกันเถอะนะ
“การยอมรับ LGBTQ ในละครกระแสหลักของประเทศแสนขี้อายอย่างญี่ปุ่น” คลิก
“Followers: ความรับผิดชอบที่มาพร้อมชื่อเสียง” คลิก