8 ที่เช็คลิสต์โทโฮคุฤดูหนาวที่ควรไปก่อนตาย

8 ที่ในโทโฮคุช่วงวินเทอร์ที่ควรไปก่อนตาย

8 Bucket list to do before die!! in Winter at Tohoku

ภูมิภาคโทโฮคุคือบริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮอนชูซึ่งเป็นเกาะใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น เป็นพื้นที่ที่หิมะตกหนักในฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคมจนถึงปลายเดือนมีนาคม ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่หิมะขาวโพลนซึ่งเรียกว่าเป็นเมืองหิมะในเทพนิยายก็ไม่ผิดนัก

นอกจากหิมะแล้วยังเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องทัศนียภาพแบบชนบทที่สวยสงบ ธรรมชาติซึ่งมีทั้งภูเขาและทะเลสาบที่สวยงามแปลกตาน่าหลงใหล น้ำพุร้อนนับไม่ถ้วน และแหล่งข้าวที่มีคุณภาพสูง อีกทั้งยังคงอนุรักษ์วิถีชีวิตขนบประเพณีท้องถิ่นญี่ปุ่นโบราณ รวมถึงหัตถกรรมพื้นบ้านให้คงอยู่ด้วยความรักของคนในท้องถิ่น ซึ่งสัมผัสได้จากบรรยากาศและความนิยมในงานเทศกาล ลองจินตนาการถึงสิ่งที่ภูมิภาคโทโฮคุมีดังที่กล่าวข้างต้น แล้วนำมาผสมกับฤดูหนาวที่มีความขาวปุยของหิมะโปรยปรายก็จะได้เมืองหิมะในเทพนิยายดี ๆ นี่เอง

ภูมิภาคโทโฮคุมีความเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสอากาศหนาวเย็นและหิมะในทัศนียภาพที่หลากหลายเหล่านี้ รวมถึงประเพณีและอาหารประจำถิ่นที่มีเฉพาะในฤดูหนาว มาวางแผนท่องเที่ยวโทโฮคุกับ 8 สถานที่ที่คัดสรรมานี้ให้เป็นทริปหน้าหนาวที่สวยตรึงใจแต่อบอุ่นแบบไม่รู้ลืมกันเถอะ!

8 ที่เช็คลิสต์โทโฮคุฤดูหนาวที่ควรไปก่อนตาย


รับพลัง 3 Power Spot! ร้องว้าวกับหิมะขาวสุดประทับใจที่สะพานนกกระเรียนสึรุโนะไม
(Tsuru no Maihashi)


ภาพที่เห็นสะพานสึรุโนะไม (Tsuru no Maihashi) นั้นเหมือนนกกระเรียนกำลังกางปีกบินจริง ๆ สะพานที่มีส่วนโค้งสามช่วงดูอ่อนโยนเหมือนนกกระเรียนกางปีกบินอยู่เหนือทะเลสาบสึการุฟูจิมิ (Tsugaru Fujimi) ตัวสะพาน ทำจากต้นฮิบะอาโอโมริทั้งหมด 700 ท่อน อายุมากกว่า 150 ปีซึ่งเวลาเดินจะเกิดเสียงกระทบที่ไพเราะ สะพานแห่งนี้มีความยาวถึง 300 เมตร เป็นสะพานไม้แบบ Sanren Taiko Bashi ที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่น และยังเป็น 3 Power Spot ที่ได้รับความนิยมเรื่องอายุยืนยาว
ความรัก และความโชคดี

สะพานสึรุโนะไมเป็นสะพานที่ข้ามทะเลสาบสึการุฟูจิมิ บรรยากาศที่แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ ฉากด้านหน้าเป็นหิมะสีขาว ฉากด้านหลังเป็นภูเขาอิวากิซึ่งจะจินตนาการว่านกกระเรียนกำลังบินสวยอยู่บนท้องฟ้าก็ได้อีก ความสวยงามของหิมะขาวที่ปกคลุมสะพานและอากาศหนาวแบบนี้รับรองความโรแมนติกขั้นสุดเลยทีเดียว ในยามที่ภูเขาอิวากิถูกปกคลุมด้วยเมฆ ก็สามารถเพลิดเพลินกับภาพสะท้อนของสะพานในทะเลสาบที่คล้ายกับภูเขาอิวากิได้ ภูเขาอิวากิเป็นที่รู้จักในชื่อสึการุฟูจิ เนื่องจากมีความสวยงามคล้ายกับภูเขาไฟฟูจินั่นเอง

บนสะพานมีพื้นที่พักผ่อนขนาดใหญ่ที่แสดงถึงส่วนหัวของนกกระเรียนตัวผู้ และพื้นที่พักผ่อนขนาดเล็กที่แสดงถึงส่วนหัวของนกกระเรียนตัวเมีย จากระยะไกลสะพานนี้จึงเหมือนนกกระเรียนคู่หนึ่งกำลังบินอยู่เหนือทะเลสาบ ส่วนราวบันไดสะพานมีโคมไฟลายหิ่งห้อยสีน้ำเงินฝังอยู่ แสงโค้งที่นุ่มนวลจะสะท้อนแสงบนพื้นผิวทะเลสาบอย่างเงียบ ๆ ในตอนกลางคืน แสงสะท้อนคล้ายกับมังกรว่ายน้ำที่ปรากฏในตำนานรักอันน่าเศร้าของเจ้าหญิงชิราคามิ และเมื่อมองจากฟากฟ้า ทะเลสาบสึการุฟูจิมิมีรูปร่างคล้ายเต่า ส่วนสะพานสึรุโนะไมตั้งอยู่บนคอเต่าราวกับเต่าสวมสร้อยคออีกด้วย

ตั้งแต่สมัยเอโดะ เลข 3 ถือเป็นเลขมงคลในญี่ปุ่น มีเรื่องที่น่าสนใจที่หมายเลข 3 ปรากฏขึ้นโดยบังเอิญ เช่น สะพานมี 3 โค้ง ความยาวสะพาน 300 เมตร และกว้าง 3 เมตร อีกทั้งเสาสะพานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 ซม.และใช้กระดานไม้ 3,000 แผ่น ฯลฯ จึงทำให้สะพานที่สร้างเสร็จพร้อมเลขมงคล 3 จึงเป็นเหตุผลให้ได้รับความสนใจจากทั่วประเทศญี่ปุ่นว่าเป็นสถานที่แห่ง Power Spot ขอเชิญทุกท่านมุ่งสู่ดินแดนแห่งบรรยากาศโรแมนติก ความเยาว์วัยและชีวิตนิรันดร์ที่จะอยู่ในความทรงจำไปอีกนานแสนนาน

สะพานนกกระเรียนสึรุโนะไม (Tsuru no Maihashi)

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
ภูเขาอิวากิ (Mt.Iwaki) เป็นสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณสำหรับผู้คนในท้องถิ่นมาช้านาน ในเดือนสิงหาคมของทุกปีมีเทศกาลโบราณชื่อ ‘โอยามะ ซังเค’ เพื่อบวงสรวงให้มีผลผลิตอุดมสมบูรณ์และให้ช่วยปกปักรักษาครอบครัว โดยการเดินขึ้นสู่ยอดเขาเพื่อไปบูชาแสงอาทิตย์ยามเช้า นอกจากจะได้เข้าร่วมกิจกรรมในขบวนแล้ว ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับอาหารท้องถิ่นเลิศรสอีกด้วย

การเดินทาง
จาก JR Mutsu-Tsuruda Station เดินทางด้วยรถยนต์ประมาณ 10 นาที

ข้อมูลเพิ่มเติม โปรดคลิก
www.en-aomori.com/scenery-024.html

8 ที่ในโทโฮคุช่วงวินเทอร์ที่ควรไปก่อนตาย

เครดิตรูปภาพประกอบ: www.tohokukanko.jp/zh_th/attractions/detail_1590.html

สะพานนกกระเรียนสึรุโนะไม (Tsuru no Maihashi)


ล่องเรืออุ่นกลางหิมะ! กินหม้อไฟคินากาชินาเบะชมหิมะหน้าผาหินลาวาในหุบเขาเกบิเค
(Geibikei Gorge)


หุบเขาเกบิเคอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดอิวาเตะได้รับเลือกเป็น 1 ใน 100 อันดับที่มีวิวสวยที่สุดในญี่ปุ่น มีผู้มาเยือนที่แห่งนี้มากว่า 100 ปีเพื่อซัมซับความงดงามของแต่ละฤดูกาล ช่วงเดือนกุมภาพันธ์เป็นช่วงที่มีหิมะเต็มไปทุกพื้นที่ดูสวยงาม และถ้าได้ล่องเรือชมวิวธรรมชาติที่นี่แล้วยิ่งทำให้ประทับใจไม่รู้ลืม

เรือที่ล่องไปเพื่อชมทิวทัศน์ในฤดูหนาวหิมะหนักเหนือแม่น้ำ Satetsu River นั้นเป็นเรือท้องแบนแบบดั้งเดิม หน้าผาหินลาวาสูงตระหง่านกว่า 50 เมตรมีความขาวโพลนของหิมะที่ตกลงมาปกคลุมตั้งแต่ต้นฤดูหนาวซึ่งขนาบไปตลอดสองฝั่งยาว 2 กิโลเมตร คนพายเรือใช้ไม้ซีดาร์งานทำมือถ่อเรือไปในแม่น้ำที่เงียบสงบ ที่นี่เป็นแห่งเดียวในญี่ปุ่นที่ล่องเรือไปกลับโดยใช้ไม้เพียงอันเดียว

ช่วงฤดูหนาวนอกจากจะอบอุ่นด้วยเรือที่ให้บริการแบบโต๊ะสไตล์โคทัตสึที่ให้ความร้อนอุ่นสบายในขณะล่องไปตามแม่น้ำแล้ว ยังสามารถนำอาหารมากินบนเรือได้ แนะนำอาหารที่เหมาะกับฤดูนี้ เช่น ปลาอายุย่างเตาถ่าน หรือข้าวกล่องที่อัดแน่นด้วยวัตถุดิบหลากสีสันซึ่งเป็นเมนูเฉพาะในฤดูหนาวเท่านั้น และขอแนะนำให้จองเมนูหม้อไฟ Kinagashi Nabe รสเลิศและโด่งดังรับประทานในเรือซึ่งเป็นอีกความภูมิใจไม่แพ้ทิวทัศน์ทีเดียว

หากมาเที่ยวที่นี่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิสามารถชมซากุระที่บานปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม พอช่วงกลางเดือนพฤษภาคมเหมาะจะชมดอกวิสทีเรียสีม่วงตัดกับหน้าผาสวยงาม ในช่วงฤดูร้อนตามกำแพงหินช่องเขาก็เต็มไปด้วยความเขียวขจีและมีปลาว่ายตามขณะล่องเรือ และถ้ามีฝนตกลงมา บรรยากาศรอบข้างเหมือนว่าตัวกำลังล่องลอยอยู่ในสายหมอกที่โรแมนติก ส่วนช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็มีสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีแต่งแต้มหุบเขาด้วยสีเหลือง ส้ม และแดงตระการตาตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน

จริง ๆ แล้วที่แห่งนี้สวยทุกฤดูกาลควรค่าแก่การไปเที่ยวชม หากชอบอากาศหนาวหิมะขาวแล้วได้ล่องเรือโดยซุกขาให้อุ่นใต้โต๊ะโคทัตสึที่สร้างความเป็นญี่ปุ่นให้เพิ่มขึ้นอีก ก็จะยิ่งเพลิดเพลินกับทัศนียภาพที่หนาวเย็นและเป็นความประทับใจตลอดเส้นทางผ่านดินแดนมหัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยหิมะเลยทีเดียว

หุบเขาเกบิเค (Geibikei Gorge)

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
โต๊ะโคทัตสึ (Kotatsu) เป็นโต๊ะขาเตี้ยตั้งพื้นและติดอุปกรณ์ทำความร้อนด้านในมีผ้าห่มคลุมทับอีกชั้น เมื่อนั่งก็ให้สอดขาเข้าไปเพื่อให้ความอบอุ่น ในปัจจุบันมีเครื่องทำความร้อนทันสมัยแพร่หลายแล้ว จึงมีการใช้โต๊ะโคทัตสึน้อยลงไปทุกที

การเดินทาง
รถไฟ JR Ofunato Line ลงที่ JR Geibikei Station เดินต่อประมาณ 5 นาที

ค่าบริการไปกลับ
ผู้ใหญ่ 1,800 เยน (90 นาที) หรือเช็ครายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ www.geibikei.co.jp/th/index.html

เวลาเปิดทำการล่องเรือ
09.30 – 15.00 น. (ขึ้นอยู่กับฤดูกาล)
อนุญาตให้รับประทานอาหารและดื่มบนเรือได้

ข้อมูลเพิ่มเติม โปรดคลิก
www.geibikei.co.jp/th/index.html

8 ที่ในโทโฮคุช่วงวินเทอร์ที่ควรไปก่อนตาย

เครดิตรูปภาพประกอบ: www.tohokukanko.jp/zh_th/attractions/detail_1766.html

หุบเขาเกบิเค (Geibikei Gorge)


ประสบการณ์กระท่อมหิมะ! Kamakura แสงพราวระยิบระยับ
และประเพณีฤดูหนาวที่โยโคเตะ
(Yokote Kamakura)


เทศกาล Yokote Kamakura Festival ที่เมืองโยโคเตะในจังหวัดอาคิตะ จัดขึ้นในช่วงฤดูหนาวตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งมีชื่อเสียงมากเป็นพิเศษจนติดอันดับ 1 ใน 5 เทศกาลหิมะใหญ่ของมิจิโนกุ (Michinoku Godai Yuki-Matsuri) ในเทศกาลมีงานที่เป็นไฮไลท์คือประสบการณ์ในกระท่อมหิมะและพิธีบงเด็น (Bonden) ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 15 และ 16 เดือนกุมภาพันธ์ทุกปีมากกว่า 450 ปีแล้ว

ในกระท่อมหิมะคามาคุระ (Kamakura) ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3.5 เมตรและสูง 3 เมตร ด้านในมีแท่นสำหรับบูชาเทพแห่งน้ำ เพื่อขอพรให้น้ำท่าอุดมสมบูรณ์พอกินพอใช้ สมาชิกในครอบครัวมีความปลอดภัย และประสบความสำเร็จ มีเตาถ่านให้ความอบอุ่นและเอาไว้ย่างโมจิกินกับเครื่องดื่มสีขาวขุ่นรสหวานชื่อ อามาสะเกะ ซึ่งมีแอลกอฮอล์เพียงเจือจางที่เกิดตามธรรมชาติ สถานที่จัดงานมี 4 แห่งคือที่สวนสาธารณะหน้าที่ว่าการอำเภอโยโคเตะ Haguro-Machibukeyashiki Street ถนนฟูตาบะโจคามาคุระโดริ และสวนสาธารณะโยโคเตะ

สำหรับพิธีบงเด็นก็คือขบวนแห่ไม้ห้อยกระดาษสีขาว (เฮโซคุ) เข้าสู่วิหารของศาลเจ้าอาซาฮีโอกะยามะซึ่งบงเด็นที่ใช้ในงานเทศกาลประจำเมืองโยโคเตะนี้ถูกสร้างให้ใหญ่พิเศษมีความยาวถึง 5 เมตรและหนักกว่า 30 กิโลกรัม ในจังหวัดอาคิตะมีการจัดงานบงเด็นหลายแห่ง แต่บงเด็นของที่นี่ประทับใจทั้งความงามและความยิ่งใหญ่ อีกทั้งเป็นประเพณีที่อยู่คู่กับชุมชนมาอย่างยาวนานจึงมีบรรยากาศที่ไม่ควรพลาดชมอย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวสามารถชมพิธีบงเด็นได้ตั้งแต่ถนนด้านหน้าที่ว่าการอำเภอไปจนถึงศาลเจ้า Asahiokayama ที่มีระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตรได้อย่างสะดวก

นอกจากคามาคุระขนาดใหญ่แล้ว ยังมีคามาคุระอันเล็ก ๆ เรียงรายสว่างไสวด้วยเทียนที่ใส่ไว้ข้างในกระจายอยู่นับไม่ถ้วนที่โรงเรียนประถมศึกษาโยโคเตะมินามิ และที่ลานกว้างริมน้ำจาโนะซากิ หากได้เดินชมก็เหมือนกำลังเดินอยู่ท่ามกลางหมู่ดาวที่เปล่งแสงระยิบระยับให้เหมือนกับที่สถาปนิกชาวเยอรมันท่านหนึ่งเคยจรดปากกาเล่าประสบการณ์ความตื่นเต้นของที่แห่งนี้ไว้เมื่อปี พ.ศ. 2488 ส่วนใครที่หาโอกาสไปสัมผัสช่วงหน้าหนาวไม่ได้ก็สามารถชมคามาคุระได้ตลอดทั้งปีในอาคารที่อยู่ติดกับศาลากลางโยโคเตะ ภายในมีคามาคุระเก็บไว้ที่อุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียส

ขอแนะนำการทำคามาคุระจิ๋วด้วยตัวเองที่สวนโคเมียวจิ และการขึ้นชมทิวทัศน์สวยงามของเมืองจากชั้น 4 บนปราสาทโยโคเตะ (Yokote Castle) ที่ห่างออกไประยะเดินได้เพียง 10 นาที และลองชิมเมนูขึ้นชื่อโยโคเตะยากิโซบะได้ที่แผงขายอาหารซึ่งตั้งอยู่รอบเมือง สำหรับคนที่ชอบเทศกาลฤดูหนาวไม่ควรพลาดเลยทีเดียว

Yokote Kamakura จังหวัดอาคิตะ

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
อามาสะเกะเป็นเครื่องดื่มรสหวานหมักจากข้าว ชาวญี่ปุ่นนิยมดื่มกันมาตั้งแต่สมัยโบราณโดยดื่มกันแบบอุ่น ๆ ในช่วงฤดูหนาว มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมด้วยวิตามินบี กรดอะมิโน น้ำตาลกลูโคส เอ็นไซม์ ถือเป็นซุปเปอร์ฟู้ดดีต่อผิว ชะลอวัย และการย่อยอาหาร

การเดินทาง
JR Ou Main Line ลงที่ Yokote Station เดินต่อประมาณ 10 นาที

เวลาเปิดทำการ
18.00 – 21.00 น. กิจกรรมในกระท่อมหิมะคามาคุระ
10.00 – 21.00 น. ช่วงเทศกาล Yokote Kamakura Festival

ข้อมูลเพิ่มเติม โปรดคลิก
www-yokotekamakura-com.translate.goog/event/3-5/?_x_tr_sl=auto&_x_tr_tl=en&_x_tr_hl=ja

8 ที่ในโทโฮคุช่วงวินเทอร์ที่ควรไปก่อนตาย

Yokote Kamakura จังหวัดอาคิตะ

เครดิตรูปภาพประกอบ: www.tohokukanko.jp/zh_th/attractions/detail_1007343.html


หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอกที่ดีที่สุด! ไปชมสุนัขจิ้งจอกกลางหิมะแสนงามในตำนานที่เมืองซาโอะ
(Kitsune Mura –Village of Fox)


แถบเทือกเขาชิโรอิชิในจังหวัดมิยางิมีหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยสุนัขจิ้งจอกถึง 6 สายพันธุ์และมีมากกว่า 100 ตัว นั่นก็คือ Kitsune Mura –Village of Fox สถานที่ที่ดีที่สุดในญี่ปุ่นในการไปดูสุนัขจิ้งจอกที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่น ความกว้างของบริเวณมีมากถึง 18,000 ตารางฟุต มีสุนัขจิ้งจอกหลายสายพันธุ์ทั้งสีส้มที่เคยเห็นและสีอื่นแปลกตา เช่น สีขาว สีดำ สีเทา เปิดให้ชมมายาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 สุนัขจิ้งจอกที่นี่สามารถเดินเตร่ไปมาได้อย่างอิสระและนักท่องเที่ยวก็สามารถเข้าไปได้

ชาวญี่ปุ่นแนะนำว่าถ้าจะชมสุนัขจิ้งจอกให้มาช่วงฤดูหนาว เดือนมกราคม – มีนาคม เพราะขนของเจ้าพวกนี้จะฟูและหนาดูสวยงามเต็มที่ ยิ่งได้เห็นวิ่งเล่นกันสนุกสนานเป็นฝูงใหญ่ท่ามกลางหิมะสีขาวโพลนในป่ากว้างอย่างอิสระซึ่งเป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูและหาชมได้ยากมากนั้นคงเพียงพอที่จะทำให้ไม่พลาดไปเยือนสถานที่แห่งนี้ และยังเป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะได้เจอสุนัขจิ้งจอกใกล้ๆ แบบนี้ในบรรยากาศธรรมชาติ

เมื่อเข้าไปและชำระค่าเข้าชมก็สามารถซื้ออาหารสำหรับสุนัขจิ้งจอกได้ มีกฎหลายข้อเกี่ยวกับเวลาและวิธีการให้อาหาร ส่วนแรกเป็นเหมือนสวนสัตว์ทั่วไปที่มีสุนัขจิ้งจอกอยู่ในกรง กระต่าย Pony และแพะซึ่งสามารถชมความน่ารักได้อย่าง
ใกล้ชิดจะจับหรือจะถ่ายรูปก็ได้ ต่อเมื่อเดินมาถึงส่วนที่เป็นหมู่บ้านจิ้งจอกที่มีประตูเปิดให้เข้าไป ก็จะพบพื้นที่เปิดโล่ง มีสุนัขจิ้งจอกมากมายเดินไปรอบๆ อย่างอิสระ มีต้นไม้ พุ่มไม้ เสาโทริอิสีแดง ทำให้กับการเฝ้าดูสุนัขจิ้งจอกตัวฟู ๆ กับหิมะปุย ๆ ในอิริยาบถต่าง ๆ ที่ได้ใช้ชีวิตในพื้นที่กว้าง ๆ จึงน่าประทับใจและคุ้มค่ามาก

นักท่องเที่ยวสามารถให้อาหารโดยการโยนในบริเวณที่กำหนดไว้ สำหรับคนที่ชื่นชอบอะไรแบบนี้จะต้องชอบกิจกรรม
การกอดลูกสุนัขจิ้งจอกตัวเป็น ๆ ให้ถ่ายรูปรัว ๆ ด้วยการจ่ายค่าตัวให้น้องในราคาเบา ๆ ก่อนกลับให้แวะซื้อของที่ระลึกทั้งน่ารักและน่าใช้หลากหลายแบบที่วางจำหน่ายเอาไว้อย่างมากมายจนอยากขนกลับไปให้หมด ซึ่งเป็นของที่มีเอกลักษณ์เฉพาะที่นี่เท่านั้น ยังมีร้านขายอาหารและเครื่องดื่มบริการอีกด้วย

หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอก เมืองซาโอะ Kitsune Mura –Village of Fox

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
ความนิยมของสุนัขจิ้งจอกในนิทานพื้นบ้านหรือตำนานในญี่ปุ่นนั้นมีเรื่องราวมากมายให้ศึกษาทั้งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ที่ญี่ปุ่นมีความเชื่อมาช้านานในสมัยโบราณแล้วว่าสุนัขจิ้งจอกเป็นผู้รับใช้เทพอินาริซึ่งเป็นเทพแห่งธัญญาหารและการเกษตรซึ่งตั้งแต่ดั้งเดิมนั้นญี่ปุ่นเป็นประเทศกสิกรรมที่ให้ความสำคัญกับการปลูกข้าว ศาลเจ้าอินาริที่มีอยู่ทั่วประเทศกว่า 30,000 แห่งนั้น เกือบทุกที่จะมีรูปปั้นของสุนัขจิ้งจอกตรงประตูทางเข้าให้ได้เห็นกันจนชินตาเพราะสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดกันของเทพอินาริกับสุนัขจิ้งจอกนั่นเอง

การเดินทาง
จาก Tokyo Station ใช้รถไฟชินคันเซ็น Yamabiko แล้วลงที่ Shiroishi Zao Station ต่อรถแท็กซี่อีกประมาณ 25 นาที หรือโดยสารรถ Shuttle Bus อีก 30 นาทีที่ให้บริการบริเวณหน้าสถานี

เวลาทำการ
ช่วงฤดูร้อน 16 มีนาคม – 30 พฤศจิกายน เปิด 09.00 – 17.00 น. เข้าก่อน 16.30 น.
ช่วงฤดูหนาว 1 ธันวาคม – 15 มีนาคม เปิด 09.00 – 16.00 น. เข้าก่อน 15.30 น.
ปกติหยุดทุกวันพุธ ยกเว้นวันพุธที่เป็น วันหยุด และวันหยุดนักขัตฤกษ์
ประสบการณ์กอดลูกสุนัขจิ้งจอก เวลา 11.00 น. และ เวลา 14.00 น. อาจมีการยกเลิกเนื่องจากสภาพของสุนัขจิ้งจอกและสภาพอากาศ
*โปรดระวังและทำตามคำแนะนำเนื่องจากสุนัขจิ้งจอกได้รับการเลี้ยงดูแบบปล่อยอิสระตามธรรมชาติ

ค่าบริการ
ผู้ใหญ่ 1,000 เยน
เด็กประถมและต่ำกว่า ไม่เสียค่าเข้าชม

ข้อมูลเพิ่มเติม โปรดคลิก
https://en.japantravel.com/miyagi/zao-kitsune-mura-fox-village/59970

8 ที่ในโทโฮคุช่วงวินเทอร์ที่ควรไปก่อนตาย

เครดิตรูปภาพประกอบ: www.tohokukanko.jp/zh_th/attractions/detail_1239.html

หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอก เมืองซาโอะ Kitsune Mura –Village of Fox

เครดิตรูปภาพประกอบ: Tatsuro Shimono


ออนเซ็นสุดโปรดคนญี่ปุ่น! แช่ออนเซ็นในหมู่บ้านยุคโบราณกลางหุบเขาหิมะ
(Ginzan Onsen)


Ginzan Onsen หมู่บ้านออนเซ็นเล็ก ๆ กลางหุบเขารอบเหมืองเงินเก่าซึ่งมีประวัติยาวนานนับ 100 ปีของจังหวัดยามากาตะ ที่แห่งนี้ทำให้ผู้มาเยือนได้ซึมซับบรรยากาศวันคืนเก่า ๆ ที่งดงามเมื่อครั้งโบราณ เหมืองแห่งนี้เคยเป็นแหล่งขุดแร่เงินในสมัยเอโดะตอนต้นและถูกทิ้งร้างไว้ ที่นี่มีที่พักที่สร้างด้วยไม้มีความสูงประมาณ 3 – 4 ชั้นในยุคไทโช (พ.ศ.2455 – พ.ศ.2469) ที่ยังคงสวยงามไม่เปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่เริ่มสร้างจนเป็นสภาพเมืองที่เห็นอยู่ในทุกวันนี้ ซึ่งเรียงรายสองฝั่งแม่น้ำกินซังที่ไหลผ่านกลางเมือง

การค้างคืนที่เรียวกังนอกจากจะได้ชิมอาหารท้องถิ่นและแช่ออนเซ็นที่ช่วยให้สบายตัวและหลับสนิทแบบไม่ต้องเร่งรีบแล้ว การได้ออกไปเดินชมเมืองแบบปลอดรถยนต์ เพราะถูกจัดให้เป็นเขตเดินเท้าที่มีบรรยากาศสวยงามตอนกลางคืนในแสงสว่างนวลตาจากตะเกียงแก๊สริมทางนั้น ทำให้สามารถใช้เวลาพักผ่อนอยู่กับธรรมชาติที่มีบรรยากาศโรแมนติกได้อย่างเพลิดเพลิน และยังได้รับความสงบมากขึ้นจากการไม่มีรถผ่านเข้ามา
ในฤดูร้อนหากสามารถเดินไปถึงด้านหลังของเมืองได้จะพบน้ำตกที่มีความสูงถึง 22 เมตร ฐานของน้ำตกเคยเป็นหนึ่งในทางเข้าเหมืองที่ถูกสร้างมานานหลายร้อยปี หรือจะเดินเข้าชมอุโมงค์ภายในก็ได้ซึ่งมีระยะทางประมาณ 20 เมตร

ความมีชื่อเสียงของ Ginzan Onsen ในระดับประเทศนั้นมาจากละครโทรทัศน์ยอดนิยมเรื่องโอชินของ NHK จึงทำให้ในแต่ละปีมีชาวญี่ปุ่นหลายแสนคนมาที่นี่ ส่วนในระดับนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้นก็มาจากสำนักข่าว CNN ซึ่งเคยแนะนำว่า ที่แห่งนี้อาจจะเป็นหมู่บ้านฤดูหนาวที่มีเสน่ห์ที่สุดในญี่ปุ่น จึงทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หิมะที่ปกคลุมสถานที่แห่งนี้ในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ทำให้การจองห้องพักเป็นเรื่องยาก ควรวางแผนการเดินทางและจองที่พักล่วงหน้านาน ๆ

Ginzan Onsen จังหวัดยามากาตะ

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
แร่ธาตุที่ประกอบอยู่ในออนเซ็นน้ำพุร้อนมีหลากหลายชนิด ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาอาการต่าง ๆ ได้ เช่นออนเซ็นไฮโดรเจนคาร์บอเนตช่วยบรรเทาโรคไขข้อและความดันสูงโดยช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีและช่วยปรับสมดุลในร่างกาย หรือออนเซ็นซัลเฟตช่วยบรรเทาแผลไฟไหม้ รอยฟกช้ำต่าง ๆ และโรคผิวหนังเรื้อรัง

การเดินทาง
รถไฟ JR Oishida Station ต่อรถบัสอีกประมาณ 40 นาที (รถบัสออกเดินทางทุก 60 – 90 นาที)

ข้อมูลเพิ่มเติม โปรดคลิก
https://yamagatakanko.com/th/attractions/detail_2832.html

8 ที่ในโทโฮคุช่วงวินเทอร์ที่ควรไปก่อนตาย

เครดิตรูปภาพประกอบ: www.tohokukanko.jp/zh_th/attractions/detail_1265.html

Ginzan Onsen จังหวัดยามากาตะ


เยือนที่พักไดเมียว! หมู่บ้านญี่ปุ่นโบราณกว่า 48 หลังที่โออุจิ จุคุ
(Ouchi Juku – Enchant Village)


เทศกาลหิมะที่หมู่บ้านโออุจิ จุคุ ในจังหวัดฟุกุชิมะถูกจัดขึ้นเป็นเวลา 2 วันในวันเสาร์และอาทิตย์ที่สองของเดือนกุมภาพันธ์ ในงานมีกิจกรรมสนุกสนานมากมายรวมถึงดอกไม้ไฟที่ทำให้ท้องฟ้าในฤดูหนาวอบอุ่นขึ้นด้วยความสดใสของแสงสีพลุที่แตกออก ทั้งหมู่บ้านถูกเปลี่ยนเป็นดินแดนมหัศจรรย์ฤดูหนาวใต้แสงเทียนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ

แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่ซ่อนอยู่ในภูเขาทางตะวันตกของจังหวัดฟุกุชิมะ ห่างจากเมืองไอสึวากามัตซึ (Aizu-Wakamatsu) ประมาณ 20 กม.นั้น แต่เดิมเป็นสถานที่พักแรมที่เจริญรุ่งเรืองบนเส้นทางหลักที่เชื่อมระหว่างเมืองไอสึวากามัตสึกับนิกโก้ โดยใช้เป็นที่พักค้างแรมพักผ่อนแก่ผู้เดินทางไปยังเอโดะทั้งไดเมียวและบริวาร เจ้าหน้าที่และพ่อค้า ซึ่งสร้างขึ้นประมาณปี พ.ศ.2183 มีทั้งที่พัก ที่กินดื่มซึ่งหรูหราสำหรับชนชั้นสูงไปจนถึงคนรับใช้ และยังมีการค้าขายงานช่างฝีมือและพืชพันธุ์เกษตรในท้องถิ่น เป็นแหล่งข้อมูลข่าวสารที่มาจากเมืองหลวงและที่อื่น กล่าวได้ว่าเป็นสถานที่สำคัญของผู้คนที่อาศัยอยู่ในภูเขาทางตอนใต้ของภูมิภาค Aizu ต่อมาในปี พ.ศ.2427 มีการเปิดทางหลวงสายใหม่ ที่แห่งนี้จึงเลิกใช้แต่นั้นมา

เนื่องจากชาวบ้านได้อนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ อาคารบ้านเรือนที่เป็นประวัติศาสตร์ในลักษณะดั้งเดิมไว้ได้ดี ทำให้เป็นที่รู้จักและกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในจังหวัดฟุกุชิมะ บรรยากาศในหมู่บ้านโบราณ โออุจิ จุคุ ที่พบเห็นได้คือบ้าน 48 หลังที่มุงหลังคาด้วยจากแบบดั้งเดิมเมื่อ 400 ปีก่อนเรียงกันเป็นแนวยาวไปตามถนนที่มีน้ำใสไหลเย็นทั้งสองข้างทาง ผู้คนที่มาเดินเที่ยวมีจำนวนมากขึ้นจึงทำให้วิถีชีวิตสมัยเก่าที่เคยรุ่งเรืองหวนกลับมาเหมือนได้เดินอยู่ในช่วงเวลาสมัยโบราณเลยทีเดียว

นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินไปกับร้านอาหารที่ปรุงอาหารขึ้นชื่อคือเนกิโซบะ เส้นโซบะที่ต้องกัดต้นหอมสดยาวทั้งต้นกินไปพร้อมกัน ร้านสินค้าแฮนด์เมดท้องถิ่นทำจากผ้าฝ้ายและเซรามิกแบบไอสึที่สวยงาม ของที่ระลึกและสาเกประจำถิ่นขึ้นชื่อ และชมสิ่งของสมัยเอโดะจำนวนมากรวมถึงวิดีโอสารคดีวิธีมุงหลังคาที่ต้องใช้ทักษะอย่างมากที่จัดแสดงไว้ใน Ouchi Juku Honjin Museum ซึ่งอาคารนิทรรศการนี้เคยเป็นโรงแรมของพวกขุนนางเคยเข้าพัก นักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวได้ตลอดวันและกลับไปพักที่ Yunokami Onsen ที่ซึ่งมีโรงแรมและเรียวกังที่มีน้ำพุร้อนให้เลือกมากมาย

เมื่อถึงฤดูหนาวหมู่บ้านจะขาวโพลนไปทั่ว ขอแนะนำจุดชมวิวตรงทางขึ้นท้ายหมู่บ้านซึ่งเป็นเนินเขา เมื่อขึ้นไปและเดินผ่านวัดพุทธโบราณก็จะได้ชมทิวทัศน์หมู่บ้านในมุมสูงแบบพาโนรามาที่สวยงามเหมือนฝัน หรือการได้เดินเล่นเที่ยวชมเมืองและเข้าหลบอากาศหนาวในกระท่อมน้ำแข็งที่น่าสนุกแบบได้กลับไปสู่วัยเยาว์อีกครั้ง หรือการชมไฟประดับตกแต่งตอนกลางคืนที่สวยงามซึ่งน่าประทับใจไม่แพ้ตอนกลางวัน

หมู่บ้านโบราณโออุจิ จังหวัดฟุกุชิมะ

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
การมุงหลังคาด้วยจากเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องใช้ทักษะบวกกับความพยายามอย่างมาก จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนหลังคาเนื่องจากการเน่าเปื่อยตามสภาพอากาศทุกปีในช่วงฤดูใบไม้ผลิ – ฤดูใบไม้ร่วง โดยหมุนเวียนกันไปคราวละหลาย ๆ หลัง การระวังอันตรายจากไฟไหม้ก็มีอย่างต่อเนื่อง เพราะหลังคาที่แห้งทำให้ติดไฟง่าย ที่นี่จึงมีการป้องกันไฟด้วยน้ำใสจากภูเขาที่ไหลอยู่ตามสองข้างทางของถนนในหมู่บ้าน ปัจจุบันจะมีการฝึกซ้อมระบบป้องกันอัคคีภัยโดยน้ำจะพ่นขึ้นสูงอย่างมีระเบียบประณีตบรรจง เป็นภาพประทับใจจนกลายเป็นกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวสนใจเข้าชมเป็นจำนวนมาก การฝึกซ้อมจะจัดขึ้นในวันที่ 1 กันยายน ทุกปี

การเดินทาง
จาก Tokyo Station ใช้รถไฟ Tohoku Shinkansen ลงที่ Koriyama Station เปลี่ยนเป็นรถไฟ JR Banetsusai-sen ลงที่
Aizuwakamatsu Station เปลี่ยนเป็นรถไฟ Aizu Train ลงที่ Yunokami Onsen Station ต่อแท็กซี่ 10 นาที

เวลาทำการ
09.00-16.00 น. เวลาเปิด-ปิดร้านค้า (แตกต่างกันไปในแต่ละร้านค้า)
09.00-16.30 น. Ouchi Juku Honjin Museum เปิดทุกวัน (เข้าชมฟรี)

ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่ 250 เยน

ข้อมูลเพิ่มเติม โปรดคลิก
https://welovefukushima.com/sightseeing/หมู่บ้านโบราณโออุจิ

8 ที่ในโทโฮคุช่วงวินเทอร์ที่ควรไปก่อนตาย

เครดิตรูปภาพประกอบ: www.tohokukanko.jp/zh_th/attractions/detail_1546.html

หมู่บ้านโบราณโออุจิ จังหวัดฟุกุชิมะ

เครดิตรูปภาพประกอบ: www.gurutto-aizu.com/detail/622/freepage-1.html


เมืองหิมะยอดนิยม! ตื่นตาและเต็มอิ่มกับกิจกรรมบนลานหิมะขาวปุยที่เอจิโกะยูซาวะ
(Echigo-Yuzawa)


เอจิโกะยูซาวะอยู่ตอนใต้สุดในจังหวัดนีงาตะ มีลานสกีมากถึง 12 แห่งสามารถดึงดูดนักเล่นสกีได้มากกว่า 2 ล้านคนในแต่ละปี ในรีสอร์ทมีอุปกรณ์ครบครันสำหรับนักสกีระดับเริ่มฝึกจนถึงมือโปร ที่นี่เป็นเมืองในนิยายเรื่อง “เมืองหิมะ” ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมของยาสุนาริ คาวาบาตะ ที่ยกย่องว่าเป็นดินแดนหิมะขนานแท้ มีพื้นที่หิมะเหลือเฟือ และละเอียดเหมือนผงแป้งเป็นระยะยาวนานในแต่ละปี ทำให้มีชื่อเสียงเรื่องการเล่นสกีและสโนว์บอร์ดระดับแนวหน้า

เพราะเอจิโกะยูซาวะตั้งอยู่ในพื้นที่หิมะตกมากที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น หิมะที่แห้งและเนื้อละเอียดเหมาะสำหรับการเล่นสกี
สโนว์บอร์ด สโนว์โมบิล สโนว์ทูบบิ้ง ฯลฯ หรืออยากมาหาความท้าทายด้วยวิวกว้างใหญ่ไพศาลที่ต้องตะลึงอย่างแน่นอน ที่นี่มีสโลปเล่นสกีที่ยาวที่สุดถึง 4 กม.ให้นักสกีฝีมือโปรระดับโลกทีเดียว ส่วนกิจกรรมอื่น ๆ เอจิโกะยูซาวะก็ยินดีต้อนรับเสมอ ไม่ว่าจะแค่มาสัมผัสหิมะ ชมวิวพาโนรามาที่ให้เก็บภาพความประทับใจแบบไม่มีวันลืม การซื้อทัวร์เดินชมวิวภูเขาหิมะใส่รองเท้าเดินหิมะแบบญี่ปุ่นที่มีผู้เชี่ยวชาญพาไปสนุกและสัมผัสหิมะอย่างเต็มอิ่ม 1 ชั่วโมงในราคาเพียง 2,000 เยน ซึ่งแม้จะเป็นประสบการณ์ครั้งแรกก็สนุกและไม่ต้องกังวลหรือกลัวใด ๆ

สำหรับคนที่มาครั้งแรกก็สนุกได้ทั้งวันกับลานเล่นหิมะ เล่นถาดเลื่อน เล่นห่วงยางสไลด์ บางรีสอร์ทมีส่วนลดพิเศษให้ด้วยหากเดินทางโดยใช้ JR Tokyo Wide Pass และรีสอร์ทสกีบางแห่งยังมีแพ็คเกจไปกินสตรอเบอร์รี่สดสายพันธุ์เอจิโกะฮิเมะ
จุดเด่นที่ลูกใหญ่และหวานฉ่ำที่ปลูกเฉพาะในจังหวัดนีงาตะที่ฟาร์มสตรอเบอร์รี่ในช่วงกลางเดือนมกราคม – ปลายเดือนเมษายน หรือเก็บเมเปิ้ลไซรัปทำแพนเค้กกินบนยอดเขา ฯลฯ

นอกจากหิมะที่ดึงดูดผู้คนแล้ว น้ำพุร้อนที่นี่ยังโด่งดังอีกด้วย ซึ่งมีความเป็นมาย้อนกลับไปได้กว่า 900 ปีเลยทีเดียว น้ำแร่ที่มีความเป็นด่างอ่อน ๆ ซึ่งทำให้น้ำมีสัมผัสที่นุ่ม การแช่น้ำที่มีความเป็นด่างช่วยปรับสภาพผิวให้ดีขึ้นได้ แร่ธาตุที่มีอยู่ในน้ำยังดีเป็นพิเศษต่อกล้ามเนื้อที่ต้องการฟื้นฟู ดีต่ออาการปวดตามเส้นประสาท และถือเป็นการผ่อนคลายที่ดีเยี่ยมหลังจากใช้เวลาทั้งวันบนปุยหิมะ โคะมะโกะโนะยุคือย่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่ได้รับความนิยมที่สุดจากทุกบ่อในเอจิโกะยูซาวะ ซึ่งมีน้ำพุร้อนอยู่ในอาคารไม้ชวนให้นึกถึงวันวานในอดีต ห้องรับรองที่ปูด้วยเสื่อทาทามิ และยังมีนิทรรศการเกี่ยวกับยาสุนาริ คาวาบาตะด้วย

นีงาตะมีชื่อเสียงเรื่องข้าวและสาเก จึงขอแนะนำพิพิธภัณฑ์สาเกที่อยู่ในสถานีเอจิโกะยูซาวะซึ่งสามารถลิ้มรสสาเกที่ผลิตในจังหวัดได้มากกว่า 100 ชนิดในรูปแบบของตู้หยอดเหรียญอัตโนมัติ สามารถดื่มสาเก 5 ถ้วยโดยจ่ายในราคาเพียง 500 เยน และที่นี่ยังมีสปาสาเกให้อาบในอุณหภูมิ 41 องศาเซลเซียส

จริง ๆ แล้วที่เอจิโกะยูซาวะมีความสวยงามสามารถท่องเที่ยวได้ทั้ง 4 ฤดู เมื่อหิมะละลาย ทั้งภูเขาถูกปกคลุมด้วยสีเขียว การนั่งกระเช้าไฟฟ้ายูซาวะโคเกงที่จุผู้โดยสารได้ 166 คนเพื่อไปเดินที่ Arupunosato ที่เป็นสวนพฤกษชาติมีต้นไม้แบบเทือกเขาแอลป์นับ 1,000 สายพันธุ์ หรือเพลิดเพลินกับดอกลิลลี่สีเหลืองได้ในฤดูร้อน และสีสันใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วงก็งดงามด้วยวิวพาโนรามาบนทะชิโรโรปเวย์จุคนได้ 91 คนและมีความสูง ณ จุดหนึ่งถึง 230 เมตรซึ่งสูงที่สุดในญี่ปุ่น อีกหนึ่งกิจกรรมสำหรับคนชอบตั้งแคมป์คือบริเวณไดเกนตะแคนยอนที่มีดาวให้ชมเต็มฟ้า มีน้ำตก เส้นทางเดินเขา จุดทำบาร์บีคิว เรือแคนูและแพกระดานแบบยืนพายให้บริการ และซอฟต์ครีมไดเกนตะก็ได้รับความนิยมอย่างมาก

ในยามค่ำคืนฤดูหนาว ที่เนินเขาจะสว่างไสวขึ้นจากแสงสีและดอกไม้ไฟที่จัดขึ้นจากรีสอร์ททั่วลานสกีในงานเทศกาลหิมะช่วงต้นเดือนมีนาคม ทุกปี สีสันสวยงามจากพลุที่สะท้อนบนหิมะขาวปุยทำให้อบอุ่นใจขึ้นได้ทันทีจากความหนาวเย็นที่กำลังติดลบ กิจกรรมมีมากมายรวมถึงขบวนแห่ซุ้มเทพเจ้าหิมะด้วย เอจิโกะยูซาวะอยู่ไม่ไกลจากโตเกียว เดินทางง่ายโดยรถไฟและรถยนต์เพียงชั่วโมงเศษ

เอจิโกะยูซาวะ (Echigo-Yuzawa) จังหวัดนีงาตะ

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
สำหรับชาวดนตรีทั้งหลายต้องคุ้นเคยกับที่นี่อย่างแน่นอน เพราะงานฟูจิร็อคเฟสติวัลในฤดูร้อนเป็นช่วงเวลาแห่งความบันเทิงที่สุด งานที่จัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม หรือ สิงหาคม ทุกปีเป็นเวลา 3 วันนั้น มีแฟนเพลงกว่า 100,000 คน มาชมการแสดงดนตรีของศิลปินชาวญี่ปุ่นและต่างชาติกว่า 200 วงทุกประเภทดนตรีกับเวทีหลัก 7 เวทีและยังมีเวทีเล็ก ๆ อีกมากมาย นอกจากดนตรีแล้วยังได้อิ่มท้องกับอาหารท้องถิ่นได้ตลอดคืน แนะนำให้ขึ้นกระเช้า Dragondola ซึ่งยาวที่สุดในญี่ปุ่นถึง 5,481 เมตรใช้เวลา 25 นาทีเพื่อไปชมวิวแบบพาโนรามาของงานฟูจิร็อคเฟสติวัลบนยอดเขานะเอะบะ

การเดินทาง
รถไฟจากโตเกียว Shinkansen Joetsu มายัง Echigo-Yuzawa Stationใช้เวลาเร็วที่สุด 70 นาที

เวลาทำการ
09.00-19.00 น. พิพิธภัณฑ์สาเกพอนชูคัง (Ponshukan) ค่าเข้าชม 500 เยน

ข้อมูลเพิ่มเติม โปรดคลิก
www.e-yuzawa.gr.jp/language_tha

8 ที่ในโทโฮคุช่วงวินเทอร์ที่ควรไปก่อนตาย

เครดิตรูปภาพประกอบ: www.e-yuzawa.gr.jp/language_tha

เอจิโกะยูซาวะ (Echigo-Yuzawa) จังหวัดนีงาตะ

เครดิตรูปภาพประกอบ: www.japan.travel/th/spot/1450


ตลาดเก่าหลังสงคราม! ตลาดเช้าเซนไดอะไซชิที่มีทุกอย่างให้เลือกซื้อตลอดวัน
(Sendai Asaichi Morning market)


ตลาดเช้าเซนไดอะไซชิในจังหวัดมิยางิ ขายทุกอย่างไม่ว่าจะผักสด ผลไม้ และอาหารทะเลสดอร่อยจากจังหวัดมิยางิที่มีพร้อมสรรพ ยังมีดอกไม้ตามฤดูกาล เครื่องปรุงรส และอาหารประจำถิ่นสุกพร้อมกิน ร้านขนมหวานและร้านซูชิหรือซาชิมิที่รสชาติดี สดใหม่ ราคาไม่แรง กลายเป็นสถานที่ยอดนิยมในการกินระหว่างเดินทางที่รู้จักกันในชื่อ Sendai’s Ameyoko

ตลาดเช้าแห่งนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า เซนได โนะ ไดโดะโกโระ Sendai no Daidokoro หมายถึงครัวของเซนได ตลาดแห่งนี้เริ่มต้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ยุติลงในปี พ.ศ.2488 โดยกลุ่มพ่อค้าแม่ค้านำสินค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ มาขายกัน ภายหลังปี พ.ศ.2528 จึงมีการตั้งสหพันธ์ของตลาดเพื่อจัดระเบียบ และต่อมาในปี พ.ศ.2535 ได้ก่อตั้งสหพันธ์ส่งเสริมตลาดเช้าเซนไดอย่างเป็นทางการเพื่อสร้างระบบการจัดการตลาดให้มีมาตรฐานที่ดีและกลายเป็นส่วนหนึ่งของคนในชุมชน รวมทั้งมีกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทางตลาดร่วมมือกับคนในชุมชนจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมด้านวัฒนธรรมอย่าง เทศกาลทานาบาตะที่ภายในตลาดจะตกแต่งด้วยโคมกระดาษ และจะมีขบวนแห่ทานาบาตะสร้างให้ตลาดมีสีสันและคึกคักมากยิ่งขึ้น

หนาว ๆ แบบนี้ถ้าไม่ได้กินหอยนางรมของขึ้นชื่อจังหวัดมิยางิก็ถือว่ามาไม่ถึงแหล่งอาหารทะเลอันอุดมสมบูรณ์ของซันริคุซึ่งหมายถึงพื้นที่ชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกตั้งแต่จังหวัดอาโอโมริตอนใต้ ผ่านจังหวัดอิวาเตะและจังหวัดมิยางิตอนเหนือ เพราะนอกจากวิตามินและแร่ธาตุที่เรียกหอยนางรมว่าเป็นน้ำนมจากท้องทะเลแล้ว ยังอุดมไปด้วยสังกะสีที่มีคุณค่าทางโภชนาการ การเพลิดเพลินกับฤดูหนาวช่วงเดือนตุลาคม– มีนาคม ของจังหวัดมิยางิก็คือการกินหอยนางรมที่เรียงรายอยู่ในร้าน

ขอแนะนำ เซนไดสตรอเบอร์รี่ช่วงเดือนมกราคม – เมษายน ที่ปลูกในจังหวัดมิยากิ Nikoniko Berry ให้รสชาติหวานและเปรี้ยวกลมกล่อมลงตัว และ Sendai Seri ผักพื้นเมืองดั้งเดิมที่เป็นของพิเศษในฤดูหนาวสำหรับทำเมนู Seri Nabe ผักนี้มีวิตามินซีและเส้นใยอาหารอยู่มาก และยังมีจุดเด่นที่สามารถกินได้ไปจนถึงรากทีเดียว

ช่วงเดือนมีนาคม – กรกฎาคม เป็นช่วงปลาแซลมอนมิยางิโคโฮที่ออกสู่ตลาดญี่ปุ่นถึง 90% ซึ่งมีความมันเป็นพิเศษ เป็นปลาแซลมอนที่มีชื่อเสียงว่ามีความสดและคุณภาพสูง ทำเป็นซาชิมิรสชาติดีเยี่ยม

ช่วงเดือนกันยายน – ธันวาคม ปลาฮิกาชิโมโนะ ปลาทูน่าตาโตตามธรรมชาติที่บอกว่าฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะมาถึง ผู้ชื่นชอบในญี่ปุ่นยอมรับให้ติดอันดับ 1 ใน 100 ความสวย ความหวาน และความนุ่มของเนื้อไม่ติดมันที่ยอดเยี่ยมมาก

ช่วงเดือนกันยายน – มกราคม ปลาแมคเคอเรลขนาดใหญ่ที่จับได้จากแหล่งตกปลาที่อุดมสมบูรณ์นอกซันริคุจากเมืองประมงชั้นนำของจังหวัดมิยางิ นำมาทำซูชิหรือย่างเกลือได้อร่อยล้ำ

การไปเที่ยวตลาดเช้าเซนไดอะไซชิทำให้ได้สัมผัสบรรยากาศวิถีชีวิตของคนท้องที่เป็นอย่างดีซึ่งเป็นเอกลักษณ์ตลาดญี่ปุ่นอย่างแท้จริง ถึงแม้จะชื่อตลาดเช้าแต่ไม่ต้องตื่นเช้าก็ไปได้ เพราะศูนย์รวมของอร่อยแห่งนี้เปิดตลอดวันตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็นเลยทีเดียว

เพราะมิยางิได้รับพรจากธรรมชาติของทะเล ภูเขา และพื้นดิน จึงเป็นแหล่งผลิตผลทางการเกษตรและทางทะเลที่หลากหลาย ในตลาดแห่งนี้จึงมีส่วนผสมที่เข้มข้นของมิยางิอย่างแท้จริง แม้ในปี พ.ศ.2562 ยุคสมัยได้เปลี่ยนชื่อเป็น Reiwa แล้ว แต่ตลาดเช้าเซนไดอะไซชิก็ยังคงความมีชีวิตชีวาและจิตวิญญาณของพ่อค้าแม่ค้าไว้ และได้ถ่ายทอดวัฒนธรรมผ่านอาหารมาจนถึงทุกวันนี้ และจะเป็นที่รักของคนท้องที่ในฐานะครัวของเซนไดต่อไปและตลอดไป

Sendai Asaichi Morining market จังหวัดมิยางิ

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
ผักขึ้นชื่อของเมืองเซนไดมี 3 ชนิดคือ 1.) มาการิเนกิ ซึ่งเป็นต้นหอมที่มีลำต้นงอ เมื่อต้นหอมโผล่ขึ้นมาจากดินก็จะถูกกดลงเพื่อไม่ให้โดนหิมะ 2.) ผักยุกินะที่นำไปผสมในแป้งเกี๊ยวซ่ากลายเป็นเกี๊ยวซ่าสีเขียวของเมืองเซนได 3.) ผักกาดหัวใหญ่

การเดินทาง
สถานีรถไฟ JR Sendai Station ทางออก West 1

เวลาเปิด-ปิด
08.00-18.00 น. ปิดวันอาทิตย์และวันหยุดราชการ

ข้อมูลเพิ่มเติม โปรดคลิก
www.sendaiasaichi.com

8 ที่ในโทโฮคุช่วงวินเทอร์ที่ควรไปก่อนตาย

Sendai Asaichi Morining market จังหวัดมิยางิ

เครดิตรูปภาพประกอบ: www-tohokukanko-jp.translate.goog/en/attractions/detail_1485.html

เรื่องโดย Data & Communique Express Co., Ltd.


อ่าน “Winter in Tohoku : โทโฮคุวินเทอร์ที่หวานจนต้องขอแต่งงาน ตอนที่ 1” คลิก

อ่าน “โทโฮคุ (Tohoku) 4 ฤดู” คลิก

views